หลังเคลื่อนไหวอยู่ใกล้ราคาระดับสูงมาเป็นเดือน ตอนนี้ดูเหมือนว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ พร้อมแล้วที่จะปรับตัวลดลงเพราะหุ้นกลุ่มเทคฯ ปรับตัวลดลง
กราฟ SP500 รายวัน
ดัชนี SP 500 ทรุดลงจากแนวต้านล่าสุดมาเคลื่อนไหวอยู่ที่ 5,258 ขณะนี้ มีโอกาสที่นักลงทุนผู้เต็มไปด้วยความกังวลจะยิ่งเพิ่มออเดอร์ขาย
ในวันอังคาร ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว ดัชนี S&P 500 ทำระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ และ Nasdaq 100 ทำระดับต่ำสุดในรอบ 2-1/2 สัปดาห์ ขาลงดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากหุ้นชิปฯ ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นที่ขับเคลื่อนด้วย AI ผลประกอบการของ Nvidia เมื่อสัปดาห์ที่แล้วไม่สามารถสร้างความประทับใจให้กับนักลงทุนได้ และตลาดก็อยู่ในภาวะปรับตัวลดลงแล้ว
รายงานการใช้จ่ายด้านการผลิตและการก่อสร้างของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จาก ISM ที่อ่อนแอกว่าคาดส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่าความอ่อนแอของเศรษฐกิจจีนจะยังคงส่งผลต่อแนวโน้มโลกต่อไป PMI ภาคการผลิตของจีนลดลงอย่างไม่คาดคิด -0.3 สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือนที่ 49.1 แม้ว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 49.5 ก็ตาม
ขณะนี้ ตลาดจะพิจารณาตัวเลข PMI ด้านบริการที่สำคัญของสหรัฐฯ หากตัวเลขออกมาอ่อนแออาจทำให้เกิดความกลัวต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย บริการต่างๆ คิดเป็น 90% ของสหรัฐอเมริกา และเชื่อมโยงกับผู้บริโภคและธุรกิจ คาดว่า PMI ด้านบริการจะลดลงจาก 51.4 เป็น 51.1 ระดับ 50 จะเป็นเส้นแบ่งสำคัญวัดการขยายตัวทางธุรกิจ หากตัวเลขที่ออกมามุ่งหน้าไปทาง 50 หรือต่ำกว่านั้นอาจเพิ่มแรงเทขายหุ้นครั้งล่าสุด
จากนั้น นักลงทุนจะเน้นไปที่ข้อมูลจำนวนการจ้างงานล่าสุด ก่อนหน้านี้ อเมริกาพึ่งถูกปรับลดตำแหน่งการจ้างงานที่เคยเพิ่มขึ้นลง ตลาดคาดว่าจะเห็นการจ้างงาน 160,000 ตำแหน่งเพิ่มเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ หลังจากมีการจ้างงาน 114,000 ตำแหน่งเมื่อเดือนที่แล้ว
ขณะนี้ นักลงทุนเชื่อว่ามีโอกาส 100% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย -25 bp ในการประชุม FOMC วันที่ 17-18 กันยายน และ 38% สำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย -50 bp ในการประชุมครั้งนั้น
อย่างไรก็ตาม ความอ่อนแอทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมอาจทำลายความตื่นเต้นต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจที่เกิดจากการลดอัตราดอกเบี้ย หลังจากราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ S&P 500 ตกอยู่ในความเสี่ยงจากข่าวร้ายที่อาจทำให้เกิดการปรับฐานในตลาดที่รุนแรงยิ่งขึ้น
ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ยังคงมีอยู่เพราะการสู้รบที่เข้มข้นระหว่างยูเครนและรัสเซีย ในขณะเดียวกัน การหยุดยิงในตะวันออกกลาง ณ ขณะนี้ก็ยังไม่เกิดขึ้นจริง นอกจากนี้ ยังมีการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งอาจเห็นความแตกต่างเชิงนโยบายอย่างมากขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้ชนะ