ในช่วงสิ้นปี 2021 กลุ่มหุ้นในฝันของจีนได้เกิดการเปลี่ยนเทรนด์ครั้งใหญ่ นอกจากดัชนีหุ้นหลักสามของสหรัฐฯ ที่ปิดตัวลงในแดนบวก ดัชนี NASDAQ Golden Dragon China Index ซึ่งติดตามความเคลื่อนไหวของบริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติจีน 98 แห่ง ก็สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.4% ภายในชั่วข้ามคืน สร้างสถิติปรับตัวขึ้นมาที่สุดภายในวันเดียวนับตั้งแต่ปี 2008 ส่งผลให้มูลค่าตลาดรวมของหุ้นจีนเพิ่มขึ้นมากกว่า 600 พันล้านหยวน (Renminbi) ในชั่วข้ามคืน หลังจากที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปิดในวันนั้น หุ้นชื่อดังจีนก็พุ่งขึ้นมากกว่า 10% ทั่วทั้งกระดานเทรด ยกตัวอย่างเช่น iQiyi มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 17% Tencent Music และ Weilai Auto มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 15% และแม้แต่หุ้นที่ปรับตัวลดลงมากที่สุดอย่าง Gaotu ก็สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากถึง 22% ทำไมถึงเกิดการเปลี่ยนเทรนด์กระทันหันและรวดเร็วเช่นนี้?
และแนวโน้มของกลุ่มหุ้นระดับท็อปของจีนในปีนี้จะเป็นอย่างไร?
ก่อนหน้าที่เหตุการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้น ผลงานของกลุ่มหุ้นยักษ์ใหญ่ของจีนตลอดทั้งปีที่ไม่สามารถทำขาขึ้นได้อย่างโดดเด่น สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่ามูลค่ารวมของหุ้นสหรัฐฯและจีนฯ ที่หายไปตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ในปี 2021 คิดเป็นเงินมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึงกระนั้นนักลงทุนรายใหญ่และรายย่อยก็ยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับกลุ่มหุ้นชื่อดังของจีนมาก ในรายงานยังระบุด้วยว่านักลงทุนในปีที่แล้วไม่นิยมถือหุ้นจีนเอาไว้เป็นเวลานาน มีปริมาณการซื้อขายค่อนข้างน้อย แต่ในขณะเดียวกัน กลุ่มนักลงทุนที่คิดต่างมองว่าสถานการณ์เช่นนี้สร้างโอกาสที่ยอดเยี่ยมในการลงทุนกับหุ้นชื่อดังของจีน จึงได้เกิดเหตุการณ์ที่กลุ่มหุ้นในฝันของจีนฟื้นตัวกลับขึ้นมาอย่างฉับพลัน แต่เพราะการฟื้นตัวนี้ยังเทียบอะไรไม่ได้กับขาลงที่เกิดขึ้นมาตลอดทั้งปี 2021 คำถามก็คือในปี 2022 นี่คือจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัวของกลุ่มหุ้นจีนในฝันหรือไม่?
CICC ระบุในรายงานว่าการปรับตัวขึ้นกะทันหันของหุ้นจีนอาจเกิดจากปัจจัยทางเทคนิคบางอย่าง เช่น การทำ short-covering ความพยายามชดเชยกำไรที่เสียไปในปี 2021 และส่วนต่างจากการหักภาษีบางส่วน นอกจากปัจจัยทางเทคนิค เมื่อพิจารณาถึงการประเมินมูลค่าและความน่าดึงดูดใจของหุ้นจีนในต่างประเทศ หลังจากทำขาลงเกือบตลอดทั้งปี 2021 ทีมนักวิเคราะห์ของ CICC ยังระบุอีกหนึ่งสาเหตุด้วยว่าเป็นเพราะได้แรงหนุนจากการจัดเตรียมเงินทุนให้พร้อมสำหรับปี 2022
สำหรับแนวโน้มของหุ้นจีนระดับท็อป CICC ยังเชื่อว่ามีโอกาสเติบโต นักวิเคราะห์ให้เหตุผลว่าความไม่แน่นอนในระยะสั้นๆ จะค่อยๆ ลดลง จนนำไปสู่การวางนโยบายเศรษฐกิจใหม่อย่างยั่งยืนและมีเสถียรภาพ พวกเขาเชื่อว่าตลาดหุ้นจีนจะค่อยๆ ฟื้นตัว ซึ่งจะเป็นแม่เหล็กดึงดูดให้เงินทุนให้ไหลเข้ามากขึ้น อย่างไรก็ตาม CICC ก็ไม่ได้ปฏิเสธความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่ยังคงมีอยู่ ยกตัวอย่างเช่น การแทรกแซงทางการเงินจากปัจจัยต่างๆ ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ที่ยังคงแลกหมัดและจับมือกันเป็นครั้งคราว การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 สภาพแวดล้อมทางการเมืองและนโยบายกฎระเบียบที่ไม่แน่นอน
ปัจจัยเหล่านี้จะสร้างแรงกดดันให้กับการลงทุนในจีนต่อไป แม้แต่นักลงทุนจากสถาบันการเงินใหญ่ๆ เช่นกองทุนโซรอส กองทุนป้องกันความเสี่ยง Insman Group และนักลงทุนสถาบันขนาดใหญ่อื่นๆ ก็ยังแสดงความเป็นกังวลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นจีน สหรัฐฯ และตลาดเกิดใหม่อย่างภูมิภาคเอเชีย
ความเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตามองอีกประการหนึ่งกับการลงทุนในหุ้นของจีนปีนี้คือ หุ้นหลายๆ ตัวของจีนจะออกจากตลาดลงทุนสหรัฐฯ แล้วกลับมาอยู่ในตลาดหุ้นฮ่องกง นักวิเคราะห์คาดว่าจะมีหุ้นระดับของจีนหลายตัวที่เลือกออกมาจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเตรียมหากระดานลงทุนใหม่ในปีนี้ ยกตัวอย่างเช่น ตีตี้ (Didi) แอปพลิเคชันบริการเรียกรถยนต์โดยสารสาธารณะก็มีแผนที่จะลิสต์ขึ้นตลาดฮ่องกงในปีนี้ นอกจากตีตี้แล้วก็จะมี Pinduoduo, Weilai Automobile, Shell, Tencent Music Entertainment, Futu Holdings เป็นต้น
สิ่งที่นักวิเคราะห์กังวลในปี 2022 ก็คือการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และการทำนโยบายการเงินให้ตึงตัว เมื่อไหร่ก็ตามที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ดำเนินนโยบายเช่นนั้น จะมีเงินดอลลาร์สหรัฐไหลออกจากจีน ซึ่งนำไปสู่การอ่อนค่าของสกุลเงินเงินหยวนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้เกิดโอกาสที่ราคาหุ้นและมูลค่าตลาดของหุ้นจีนบางกลุ่มหดตัว และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนจะส่งผลกระทบในทางลบต่อการประเมินมูลค่าหุ้นระดับท็อปของจีน
แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนหลายประการ และนักลงทุนส่วนใหญ่ก็ระมัดระวังเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นชั้นนำของจีน อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ดูเหมือนจะดีขึ้น และนักลงทุนยังคงมีความเชื่อเชิงบวกเกี่ยวกับการเติบโตและการบริโภคภายในประเทศจีน นี่อาจเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้หุ้นตัวท็อปของจีนเกิดการดีดตัวขึ้นในอนาคต ในระยะยาว บริษัทผู้เป็นเจ้าของหุ้นตัวท็อปของจีนควรมุ่งเน้นที่การปรับปรุงความสามารถในการทำกำไร และความสามารถในการแข่งขัน เพื่อรักษาอัตราการเติบโตอย่างมั่นคง และฟื้นความไว้วางใจจากนักลงทุน ในระยะสั้น นโยบายปัจจุบันของจีนในเรื่อง “การเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ” จะเป็นประโยชน์ต่อภาคการเงิน อสังหาริมทรัพย์ ความสามารถจับจ่ายใช้สอยของคนชนชั้นกลาง ซึ่งจะนำไปสู่ความสามารถในการซื้อผลิตภัณฑ์จากบริษัทระดับท็อปของจีนได้ในที่สุด