กลยุทธ์การเทรดรายวันมีหลากหลายรูปแบบ สาเหตุที่การเทรดในลักษณะนี้มีเยอะเพราะเทรดเดอร์แต่ละคนสามารถแก้ไขรายละเอียด และเงื่อนไขการลงทุนตามแบบฉบับของตัวเองตามต้องการได้ การเลือกกลยุทธ์ที่ถูกต้องจะขึ้นอยู่กับความชอบ สไตล์ และสภาพแวดล้อมของเทรดเดอร์แต่ละคนที่แตกต่างกันออกไป หรือบางครั้งก็อาจจะขึ้นอยู่กับเวลาที่คุณทุ่มเท ประสบการณ์ ความมั่นใจ และขนาดบัญชีของคุณ
แต่ไม่ว่ากลยุทธ์การลงทุนจะเป็นเช่นไร จุดที่คุณควรให้ความสนใจมากที่สุดคือตัวคุณเอง มีแต่คุณเท่านั้นที่จะตัดสินใจว่าคุณต้องการอะไรและสิ่งนั้นจะกำหนดกลยุทธ์การเทรดของคุณ บทความนี้จะเผยให้เห็นข้อมูลกลยุทธ์การเทรด ที่เป็นที่นิยมเพื่อให้คุณเริ่มต้นได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
เดย์เทรดดิ้งคืออะไร?
คำว่าเดย์เทรดดิ้ง (Day Trading) ก็เป็นคำตอบอยู่แล้วว่ากลยุทธ์การลงทุนแบบนี้จะมีลักษณะเป็นเช่นไร เดย์เทรดดิ้งเป็นการซื้อขาย/เทรดระหว่างวัน ซึ่งจะไม่มีการเปิดคำสั่งซื้อขายข้ามคืนโดยเด็ดขาด ในการเริ่มต้นเดย์เทรดดิ้ง มือใหม่ส่วนมากจะทำการเทรดอยู่ในช่วงกลางวัน เนื่องจากการซื้อขายข้ามคืนอาจทำให้เกิดหายนะกับเทรดเดอร์บางคนได้ อีกครั้ง การเลือกเวลาเทรดจะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลอีกครั้ง แต่นั่นเป็นสาเหตุที่คุณมักจะเห็นเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์มักจะสามารถถือออเดอร์ได้นานขึ้น
เดย์เทรดดิ้งเหมือนกันกับการเทรดทุกวันหรือไม่?
เดย์เทรดถูกจัดว่าเป็นการเทรดที่ต้องทำทุกวัน เพราะคุณต้องเข้ามาในตลาดทุกวันเพื่อทำกำไร
การเทรดแบบนี้สามารถเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่าเป็นการซื้อขายระยะสั้น คุณไม่ได้ลงทุนในระยะยาว คุณกำลังใช้เงินทุนของคุณทำงานในแต่ละวัน ไม่ต่างอะไรกับการทำงานประจำ แต่เปลี่ยนเป็นคุณใช้เงินของคุณออกไปทำงานแทน
วิธีการเริ่มต้นเป็นเดย์เทรดดิ้ง?
- เปิดบัญชีซื้อขายออนไลน์ และทำความคุ้นเคยกับแพลตฟอร์ม
- สร้างกลยุทธ์การเทรดรายวัน
ก. การตั้งค่าคำสั่งเทรด – กำหนดเงื่อนไข เพื่อวางทิศทางการเทรดและตำแหน่งที่จะวางออเดอร์
ข. การจัดการความเสี่ยง – ตัดสินใจว่าคุณจะวางจุดตัดขาดทุน (Stop-loss) และจุดทำกำไรเอาไว้ที่ใด การตั้งค่าคำสั่งทั้งสองนี้จะสามารถทำให้คุณควบคุมความเสี่ยงต่อการวางออเดอร์แต่ละครั้งได้
ค. การวางออเดอร์ – นี่คือขั้นตอนที่คุณจะตัดสินใจวางคำสั่งซื้อขายในตลาดแล้ว
ง. การจัดการออเดอร์ – ในบางครั้ง คุณอาจจำเป็นต้องจัดการเปลี่ยนแปลงคำสั่ง stop loss ของคุณในขณะที่กำลังเทรดอยู่
- เมื่อเข้าใจเงื่อนไขก่อนเทรดแล้ว ทีนี้คุณก็พร้อมที่จะเริ่มลงทุนได้
กลยุทธ์เดย์เทรดสำหรับนักลงทุนมือใหม่
ตอนนี้เรามาถึงเหตุผลที่คุณมาที่นี่แล้ว เพื่อดูตัวอย่างของกลยุทธ์การเทรดรายวันบางส่วน ในบทความนี้เราได้เลือกกลยุทธ์การซื้อขายรายวันที่ได้รับความนิยมมากที่สุด จากหลายๆ ประเภทและให้รายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการเทรดที่คุณสามารถศึกษาเพื่อนำมาเป็นต้นแบบการลงทุนได้
กลยุทธ์เหล่านี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้เริ่มต้น เพราะใช้งานง่ายและตรงไปตรงมา แต่อย่าประมาทศักยภาพและความเรียบง่ายของมัน กลยุทธ์เหล่านี้สามารถทำกำไรและเคยพิสูจน์มาแล้วว่าเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด
ก่อนที่เราจะเข้าสู่การแนะนำกลยุทธ์ เราจำเป็นต้องเตือนคุณก่อนว่า ถึงแม้เดย์เทรดจะมีข้อดีมากมายแค่ไหน แต่ก็ไม่มีการรับประกันความสำเร็จ เช่นเดียวกับกลยุทธ์การซื้อขายอื่นๆ ไม่มีวิธีการและกลยุทธ์การเทรดใดที่มีอัตราความสำเร็จ 100% และสามารถเปิดทิ้งไว้ให้ทำงานได้ตลอด
คุณต้องตระหนักว่าการจัดการความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญ และการทำความเข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมเทรดเดอร์บางคนถึงล้มเหลว จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าการเทรดที่ดีควรเป็นเช่นไร เราต้องเตือนคุณด้วยว่าเราเป็นโบรกเกอร์เท่านั้น ซึ่งหมายความว่าเราไม่สามารถบอกคุณได้ว่าจังหวะไหนของตลาดควรตัดสินใจเช่นไร กลยุทธ์ต่อไปนี้เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น และคุณควรศึกษาข้อมูลทั้งหมดด้วยตัวคุณเองก่อนตัดสินใจเทรดจริงๆ
กลยุทธ์การเทรดที่ 1: เบรกเอาท์
กลยุทธ์การเทรดแบบเบรกเอาท์คือการเทรดในจังหวะที่ราคาหลุดกรอบแนวรับหรือแนวต้านสำคัญไป นักลงทุนที่นิยมใช้กลยุทธ์นี้ มักจะชอบลงทุนในจังหวะที่ตลาดพึ่งจะตัดสินใจว่าควรจะวิ่งไปในทิศทางใด เปิดโอกาสให้ทำกำไรตั้งแต่ช่วงต้นเทรนด์
ด้านล่างนี้คือตัวอย่างการสร้างกลยุทธ์การเทรดแบบเบรกเอาท์แบบเป็นขั้นตอน
วิธีการตั้งค่ากลยุทธ์
- ระบุระดับแนวรับและแนวต้าน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณเห็นแนวรับแนวต้านอย่างน้อยสองระดับ ที่อยู่สูงและต่ำกว่าระดับราคาปัจจุบัน
- ระบุเทรนด์ในแต่ละวันให้ได้ และเทรดไปในทิศทางเดียวกันกับแนวโน้มนั้น หากตลาดกำลังยกจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดใหม่ให้สูงกว่าเดิม คำสั่งซื้อเท่านั้นคือสิ่งที่คุณต้องการ ในทางกลับกัน หากตลาดกำลังสร้างจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่ต่ำลง ให้นักลงทุนตัดสินใจวางคำสั่งขายได้เลย
- ระบุระดับการเข้าและออกที่เป็นไปได้ของคุณ (จุดทำกำไรและจุดตัดขาดทุน) โดยต้องอ้างอิงจากระดับแนวรับแนวต้านที่คุณได้ระบุไว้ก่อนหน้านี้ หากตลาดมีแนวโน้มว่าจะปรับตัวสูงขึ้น ให้วาง Stop Loss ไว้ที่ระดับแนวรับและตั้งเป้าหมายที่ระดับแนวต้านถัดไป
การจัดการความเสี่ยง
- เมื่อสามารถระบุจุดเข้าออกได้แล้ว ให้ตัดสินใจว่าคุณจะยอมรับความเสี่ยงกับการเทรดครั้งนี้ได้มากแค่ไหน ยกตัวอย่างเช่น บัญชีของคุณไม่ควรรับความเสี่ยงเกิน 1% คุณก็ไม่ควรที่จะวางออเดอร์เยอะเกินกว่า 1% นี้ คลิกที่นี่เพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยง
- พิจารณาภาพรวมพอร์ตการลงทุนของคุณทั้งหมด บางทีบัญชีของคุณอาจะไม่สามารถยอมรับความเสี่ยงได้เกิน 2% ต่อการวางคำสั่งเทรดแต่ละครั้ง
จังหวะการเข้าเทรด
- หาจุดเบรกเอาท์ของคุณให้เจอ เมื่อแท่งเทียนมีราคาปิดสูงหรือต่ำกว่า 50% ของตัวมัน เมื่อเทียบกับแนวรับหรือแนวต้าน เพราะนั่นคือการส่งสัญญาณว่าตลาดกำลังเลือกทิศทางแล้ว
- มีตำแหน่งเข้าที่ถูกต้องแล้ว คุณจำเป็นต้องมีการคำนวณขนาดของ lot ที่เหมาะสมเอาไว้แล้วด้วย ที่สำคัญ อย่าลืมตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณมีการวางจุดทำกำไรและจุดตัดขาดทุนก่อนทำการวางออเดอร์ทุกครั้ง
การเทรดแบบเบรกเอาท์สามารถใช้เทรดได้ทุกวัน ขอเพียงเห็นจังหวะที่เป็นไปตามเงื่อนไขที่เราได้อธิบายเอาไว้ในตอนแรก ยกตัวอย่างเช่นหากคุณเป็นเดย์เทรด คุณอาจจะมองหาจุดเบรกเอาท์ในตอนเช้า และรอเวลาให้เทรนด์ได้วิ่งขึ้นหรือลงมาถึงจุดเข้าของคุณ เมื่อเทรดแล้ว ก็ปิดทำคำสั่งซื้อขายนั้นก่อนที่จะหมดวัน
นักลงทุนฟอเร็กซ์นิยมใช้กลยุทธ์เบรกเอาท์ในจังหวะที่ตลาดลอนดอนเปิด คุณอาจจะเริ่มจากการเทรดในช่วงตลาดลอนดอนได้ บ่อยครั้งที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะเริ่มต้นขึ้นในช่วงเวลานี้ แนวคิดก็คือเมื่อตัดสินใจเลือกทิศทางแล้ว (เกิดการเบรกเอาท์แล้วในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง) คุณสามารถเทรดตามนั้นได้เลย เพราะการลงทุนด้วยกลยุทธ์นี้ คุณจะต้องบังคับตัวเองให้ปิดในช่วงบ่ายหรือเย็นของวันนั้นอยู่แล้ว
กลยุทธ์การเทรดที่ 2: การเทรดตามเทรนด์
การเทรดตามเทรนด์คือการซื้อขายโดยพิจารณาจากความแข็งแกร่งของเทรนด์ ยกตัวอย่างเช่น ในแนวโน้มขาขึ้น หากมีผู้ซื้อมากพอ ก็จะมีแรงส่งที่คอยผลักดันการเคลื่อนไหว เพื่อให้เทรนด์ขาขึ้นสามารถดำเนินต่อไปได้
กลยุทธ์การเทรดตามเทรนด์จะขึ้นอยู่กับความผันผวนและปริมาณการซื้อขาย ในตัวอย่างนี้ เราจะใช้อินดิเคเตอร์ RSI เป็นตัววัด ด้านล่างนี้คือคำแนะนำทีละขั้นตอนของกลยุทธ์การเทรดตามเทรนด์
วิธีการตั้งค่ากลยุทธ์
- ระบุทิศทางของเทรนด์ให้ได้ หากตลาดทำจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น เทรนด์ก็จะปรับตัวสูงขึ้นตาม ในทางกลับกัน เทรนด์ขาลงก็จะเกิดขึ้นจากจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่ต่ำลง การเทรดด้วยกลยุทธ์นี้ เราจะเทรดก็ต่อเมื่อสามารถระบุเทรนด์ของราคาได้แล้วเท่านั้น
- สำหรับการใช้ RSI เป็นตัวช่วยพิจารณาเทรนด์ ให้รอจนกว่า RSI จะเข้าสู่โซน overbought (สูงกว่าระดับ 70) หรือ oversold (ต่ำกว่าระดับ 30) การเทรดนั้นจะขึ้นอยู่กับว่าคุณมองทิศทางใดเอาไว้ในใจ หากเป็นแนวโน้มขาขึ้น คุณต้องการให้ RSI อยู่ใน oversold เพิ่มหาจุดเข้า และในทางกลับกันหากอยู่ในแนวโน้มขาลง คุณก็ต้องรอจนกว่า RSI จะอยู่ใน overbought
- สมมุติว่าคุณมองว่าตลาดเป็นขาขึ้น หาก RSI เคลื่อนออกจากโซน oversold แล้ว นั่นคือสัญญาณให้เข้าเทรด ที่เหลือก็คือเราแค่ต้องรอสัญญาณการยืนยันการเคลื่อนไหวของราคาว่าจะเป็นไปตามที่เราคิดหรือไม่
การจัดการความเสี่ยง
- วาง stop loss เอาไว้ในจุดที่คิดว่าตลาดจะขึ้นหรือลงมาไม่ถึง หากตลาดเป็นแนวโน้มขาขึ้น ให้วาง Stop Loss เอาไว้ต่ำกว่าจุดต่ำสุดก่อนหน้า หากกราฟลงมาต่ำกว่าจุดต่ำสุด แสดงว่าการคาดการณ์ของคุณไม่ถูกต้อง อาจเป็นเพราะตลาดไม่สามารถปรับตัวขึ้นได้ต่ออีกแล้ว หรืออาจจะกำลังอยู่ในช่วงสะสมแรงและไม่มีโมเมนตัมขาขึ้น
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณวางคำสั่งซื้อขายในขนาดที่ไม่เกิน 1%
- เราจะไม่วางจุดทำกำไรกับการเทรดด้วยกลยุทธ์นี้ เพราะเราจะอยู่กับเทรนด์นี้ไปจนกว่าจะหมดแรงส่ง
การวางออเดอร์
- เมื่อพบเห็นสัญญาณวางออเดอร์จาก RSI ทีนี้ก็รอเพียงพฤติกรรมแท่งเทียนเท่านั้นเพื่อยืนยันการเป็นเทรนด์
- รอให้แท่งเทียนที่มีขนาดใหญ่กว่าแท่งล่าสุด สามารถปิดครอบคลุมจุดต่ำสุดหรือจุดสูงสุดของแท่งเทียนก่อนหน้าได้
การจัดการบริหารออเดอร์
- เมื่อวางคำสั่งซื้อขายไปแล้ว ให้รอขยับ stop-loss ของคุณทุกครั้ง เมื่อกราฟสร้างจุดต่ำสุดใหม่ (สำหรับขาขึ้น) เราจะออกจากตลาดต่อเมื่อราคาไม่สามารถสร้างจุดต่ำสุดใหม่ที่สูงขึ้นกว่าจุดสูงสุดเดิมได้อีกแล้ว
กลยุทธ์การเทรดที่ 3: จังหวะกลับตัว
กลยุทธ์การเทรดจังหวะกลับตัวคือการรอเข้าตลาดในจังหวะที่เห็นว่าเทรนด์ที่ดำเนินมาก่อนหน้านี้ได้สิ้นสุด และกำลังเกิดการเปลี่ยนเทรนด์แล้ว ด้านล่างนี้คือตัวอย่างทีละขั้นตอนของการเทรดด้วยกลยุทธ์จังหวะกลับตัว
วิธีการตั้งค่ากลยุทธ์
- ระบุทิศทางของเทรนด์ให้ได้ หากตลาดทำจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น เทรนด์ก็จะปรับตัวสูงขึ้นตาม ในทางกลับกัน เทรนด์ขาลงก็จะเกิดขึ้นจากจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่ต่ำลง การเทรดด้วยกลยุทธ์นี้ เราจะเทรดก็ต่อเมื่อสามารถระบุเทรนด์ของราคาได้แล้วเท่านั้น
- ระบุแนวรับหรือแนวต้านที่อาจเกิดการกลับตัว จุดสูงสุดหรือต่ำสุดจะเห็นได้ชัดจากยอดหรือจุดก้นเหวที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
- รอให้ราคาหยุดนิ่งที่ระดับแนวต้าน (สำหรับขาขึ้น) หรือแนวรับ (สำหรับขาลง) หากอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นที่จะเปลี่ยนเป็นขาลง ตลาดจะต้องหยุดสร้างจุดสูงสุดที่สูงกว่าจุดสูงสุดก่อนหน้า
- รอให้ตลาดสร้างจุดสูงสุดที่ต่ำกว่า เมื่อสร้างแล้ว ให้วางคำสั่งขายที่คุณต้องการ
การบริหารความเสี่ยง
- ระบุจุดตัดขาดทุนของคุณให้ชัดเจน หากอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น stop-loss ควรอยู่เหนือจุดสูงสุดล่าสุด
- พิจารณาลดความเสี่ยงก่อนลงทุนด้วยกลยุทธ์นี้ เนื่องจากคุณกำลังเทรดสวนทางกับแนวโน้มหลักก่อนหน้า
- แทนที่จะใช้ความเสี่ยง 1% พิจารณาใช้ความเสี่ยง 0.5% จะเหมาะสมกว่า
- ระบุระดับราคาเป้าหมายที่คุณต้องการ หากอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ให้หาระยะห่างจากจุดต่ำสุดล่าสุดไปยังจุดสูงสุดล่าสุด จากนั้นหากกรอบราคาทั้งหมดจากจุดต่ำสุดและจุดสูงสุด
การวางออเดอร์
- สำหรับการทำกำไรขาลง ให้เทรดทันทีที่ราคาทะลุต่ำกว่าจุดต่ำสุดล่าสุด เพราะนี่คือตลาดที่กำลังส่งสัญญาณขาลง สังเกตได้ว่าเทรนด์แบบนี้มักจะเกิดจุดสูงสุดที่ต่ำกว่าจุดสูงสุดก่อนหน้า เช่นเดียวกันกับจุดต่ำสุด ที่ลดต่ำลงเรื่อยๆ
การเทรดแบบนี้เป็นกลยุทธ์การลงทุนแบบคลาสสิค นักลงทุนจะปล่อยให้ตลาดเลือกทิศทางก่อน จากนั้นค่อยวางคำสั่งเทรด ในความเป็นจริง มีกลยุทธ์การกลับตัวเป็นจำนวนมาก ซึ่งแต่ละคนก็ใช้อินดิเคเตอร์ที่แตกต่างกันออกไป บางกลยุทธ์มีไว้สำหรับการเปลี่ยนเทรนด์อย่างรวดเร็ว ในขณะที่บางกลยุทธ์จำเป็นต้องรอให้มีพฤติกรรมราคาบางเงื่อนไขเกิดขึ้นก่อน
กลยุทธ์การเทรดที่ 4: เก็บกำไรสั้นๆ จากส่วนต่างราคา
การเก็บกำไรสั้นๆ จากส่วนต่างราคา หรือที่นักลงทุนในวงการจะเรียกวิธีนี้สั้นๆ ว่า ‘สแคปปิ้ง (Scalping)’ Scalping กลยุทธ์นี้จะเป็นการเข้าออกตลาดอย่างรวดเร็ว ทำกำไรจากส่วนต่างของราคา ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา หากจะลงทุนด้วยกลยุทธ์นี้ คุณต้องหาตลาดที่มีค่า pip ต่ำที่สุด เพื่อให้คุณได้เปรียบที่สุดในทุกๆ การวางคำสั่งซื้อขาย
การเทรดแบบนี้ถือเป็นกลยุทธ์ที่ยาก เพราะเทรดเดอร์ต้องอาศัยประสบการณ์ ความเข้าใจทั้งในแง่ของต้นทุนที่คุณมี และเงื่อนไขค่าสเปรดที่แต่ละโบรกเกอร์มีให้ ค่าสเปรดเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หากคุณตั้งเป้าจะทำกำไร 2 จุด แต่ค่าสเปรดกลับขยายขึ้นเกิน 2 pip อย่างรวดเร็ว ความได้เปรียบของคุณจะหายไปในทันที
กลยุทธ์การซื้อขายใดบ้างที่ใช้กับ MT4?
ไม่ว่าจะใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบใด ก็สามารถใช้กับแพลตฟอร์ม MT4 ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ที่ MT4 มีอินดิเคเตอร์ยอดนิยม เพื่อให้คุณสามารถเทรดด้วยกลยุทธ์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งไปกว่านั้น คุณยังสามารถใช้อินดิเคเตอร์แบบตั้งค่าเอง ที่ได้รับการพัฒนาโดยกลุ่มนักลงทุนบน MT4 อินดิเคเตอร์ใดที่คุณต้องการสำหรับกลยุทธ์ของคุณ คุณจะสามารถใช้ได้ทั้งหมดผ่าน MT4
เหตุผลหนึ่งที่ MT4 ได้รับความนิยมเป็นเพราะความสามารถในการใช้กลยุทธ์การเทรดแบบอัตโนมัติ (EAs) คือโปรแกรมที่ทำการเทรดตามเงื่อนไขที่คุณกำหนด ยกตัวอย่างง่ายๆ หาก A, B และ C ถูกตั้งค่าไว้ทั้งหมด การเทรดของคุณก็จะถูกดำเนินการตามนั้น
ที่ MT4 ยังมีคลังกลยุทธ์การเทรดฟรีและอินดิเคเตอร์ที่มีอยู่แล้วในแพลตฟอร์ม การนำสิ่งเหล่านี้ไปใช้กับกราฟของคุณทำได้ง่ายเพียงแค่ลากออกมา และวางไปบนกราฟเท่านั้น
กลยุทธ์การเทรดสกุลเงินดิจิทัล
กลยุทธ์การเทรดสกุลเงินดิจิทัลอาจแตกต่างกันไปจากกลยุทธ์การซื้อขายในตลาดอื่นๆ เนื่องจากสกุลเงินดิจิทัลมีความผันผวนมากกว่า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สกุลเงินดิจิทัลอย่างบิทคอยน์ (Bitcoin) จะขึ้นลง 10% ภายในวันเดียวก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ถึงแม้ว่าคุณจะสามารถใช้กลยุทธ์ที่กล่าวมาในบทความทั้งหมดได้ คุณก็ยังควรจะตรวจสอบให้แน่ใจว่ากลยุทธ์ความเสี่ยงของคุณสอดคล้องกับตลาดที่คุณเทรด คุณควรจะเช็คให้แน่ใจว่าคุณมีมาร์จิ้นเพียงพอ (เงินทุนที่มีอยู่) เพื่อรับความเสี่ยงที่ไม่คาดคิด กุญแจสำคัญในการเทรดตลาดสกุลเงินดิจิทัลคือการจัดการความเสี่ยงของคุณ
กลยุทธ์การเทรดในตลาดฟอเร็กซ์
กลยุทธ์การเทรดฟอเร็กซ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือการวิเคราะห์ทางเทคนิค เหตุผลที่เทรดเดอร์ชอบใช้กลยุทธ์การลงทุนกับตลาดฟอเร็กซ์เพราะ
- สภาพคล่อง: ตลาดฟอเร็กซ์เป็นตลาดที่เข้าออกได้ง่ายมาก ดังนั้นการวางแผนระดับความเสี่ยงของคุณจึงสามารถทำได้ง่ายกว่ามาก
- ตลาดที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง 5 วัน: ตลาดฟอเร็กซ์เปิดให้บริการตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ถึงคืนวันศุกร์ ซึ่งหมายความว่าคุณจะมีโอกาสเทรดมากมาย
- ต้นทุนในการลงทุนต่ำ: เพราะฟอเร็กซ์เป็นตลาดที่ปริมาณการซื้อขายและสภาพคล่องที่สูงมาก ค่าใช้จ่ายของคุณคือค่าสเปรดต่ำที่สุด ซึ่งหมายความว่าคุณมีโอกาสที่จะทำกำไรได้ดีกว่า
กลยุทธ์การซื้อขายหุ้น
กลยุทธ์การซื้อขายหุ้นจะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับเป้าหมายของคุณ หากคุณต้องการซื้อและถือยาว คุณต้องพิจารณาว่าคุณจะได้เทรดโดยใช้เลเวอเรจและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับการถือครองคำสั่งซื้อขายนั้นในระยะยาวหรือไม่
หากคุณต้องการทำเดย์เทรดกับการซื้อหุ้นรายวัน คุณต้องพิจารณาให้ดีว่าคุณเทรดนั้นใช้เลเวอเรจหรือไม่ เพราะต้องระวังด้วยว่าตลาดหุ้นมักจะเคลื่อนไหวในช่วงที่กว้างกว่าตลาดดัชนีหุ้นหรือฟอเร็กซ์
ช่องว่างระหว่างราคา (Gap) ถือเป็นตัวตัดสินสำคัญ เป็นจุดที่จะเป็นการเก็บค่าส่วนต่างในการเคลื่อนไหวของราคา ซึ่งแต่ละตลาดมีไม่เท่ากัน ประเด็นนี้มีผลอย่างมากในการวางกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงของคุณ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูง อาจส่งผลต่อความคุ้มค่าในการวาง stop-loss และความเสี่ยงของคุณ
คุณควรเลือกกลยุทธ์ใด / และกลยุทธ์ไหนคือคำตอบที่ใช่สำหรับคุณ?
กลยุทธ์การเทรดทั้งหมดไม่มีกลยุทธ์ใดที่ชนะและแพ้ไปตลอด คุณต้องอดทนและเรียนรู้ที่จะเข้าใจว่าระยะเวลาที่เพียงพอมีผลต่อความสามารถในการใช้งานกลยุทธ์การลงทุน กลยุทธ์บางอย่างอาจใช้ได้ผล และบางกลยุทธ์ก็ใช้ไม่ได้ การซื้อขายเป็นเรื่องส่วนบุคคล เลือกกลยุทธ์ที่คิดว่าเหมาะกับกับรูปแบบวิถีการดำเนินชีวิตของคุณมากที่สุด
แต่คำถามที่มักจะตามมาก็คือแล้วกลยุทธ์ไหนที่เหมาะสมกับเราที่สุด? นี่คือคำแนะนำสองสามข้อที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นได้
- มีเวลาเหลือเฟือ? มีเวลาทุ่มเทมากขึ้น คุณสามารถลองใช้เดย์เทรด
- ไม่ค่อยมีเวลาว่าง? คุณสามารถดูกราฟได้สัปดาห์ละครั้ง ลองเทรดแบบสวิง
- คิดถึงเทรดอยู่เสมอ? พยายามเทรดในวันนั้นให้จบ และไม่ต้องเปิดคำสั่งซื้อขายในตอนกลางคืน
- สนุกกับการวิเคราะห์? พิจารณาใช้อินดิเคเตอร์ คุณสามารถเพิ่มออสซิลเลเตอร์ เช่น RSI และ MACD เพื่อช่วยยืนยันสัญญาณเข้าเทรดของคุณ
- ควรลองกลยุทธ์ใดก่อน? มีสามกลยุทธ์หลัก เทรดตามเทรนด์ เทรดสวนเทรนด์ เทรดอยู่ในกรอบราคา อาจจะลองเริ่มต้นด้วยการเทรดตามเทรนด์ก่อน
Wei Qiang Zhang กรรมการผู้จัดการของ ATFX (สหราชอาณาจักร) ให้ความเห็นว่า: “ที่ ATFX เรารู้สึกรับผิดชอบเสมอที่จะตอบแทนสังคม และเรามีความมุ่งมั่นที่จะมีส่วนร่วมในชุมชนที่เราดำเนินกิจการอยู่ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ATFX ได้ช่วยเหลือผู้คน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่จากทั่วทุกมุมโลกมาโดยตลอด”