สารบัญ:
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรคืออะไร?
- ศัพท์พื้นฐานอื่นๆ ที่ควรรู้
- ความสัมพันธ์ระหว่างราคาพันธบัตรและอัตราผลตอบแทนคืออะไร?
- วิธีคำนวณอัตราผลตอบแทนพันธบัตร
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 4 ประเภทหลักพร้อมสูตรและการคำนวณ
- 7 ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตร
- เหตุใดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจึงมีความสำคัญ ?
- เรียนรู้วิธีการเทรดด้วยบัญชีเงินสมมุติ
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรคืออะไร?
พันธบัตร
พันธบัตรเป็นหลักทรัพย์ตราสารหนี้ที่บริษัทหรือรัฐบาลออกเพื่อระดมทุน นักลงทุนสามารถซื้อพันธบัตรซึ่งให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยเพื่อสร้างกำไรจากการลงทุน
ผลตอบแทนพันธบัตร
คือผลตอบแทนจากการลงทุน
อัตราผลตอบแทนพันธบัตร
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรหมายถึงผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจากการลงทุนในพันธบัตร
ศัพท์พื้นฐานอื่นๆ ที่ควรรู้
ผู้ออกพันธบัตร
นิติบุคคลหรือองค์กรที่ออกพันธบัตรเพื่อระดมทุน อาจเป็นรัฐบาล บริษัท หรือหน่วยงานใดๆ ที่ต้องการเพิ่มทุน
ผู้ถือหุ้นกู้
นักลงทุนที่ซื้อพันธบัตร หรือผู้ให้ยืมเงินแก่ผู้ออกพันธบัตร
มูลค่าหน้าตั๋วต่อหน่วย หรือ มูลค่าที่ตราไว้ (Face value/Par value)
เป็นมูลค่าหน้าตั๋วที่ผู้ถือจะได้รับชำระออกตราสารหนี้ต้องจ่ายคืนให้กับผู้ถือต่อหน่วยเมื่อครบกำหนดอายุตราสาร
อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (Coupon Rate)
อัตราดอกเบี้ยที่ผู้ออกตราสารหนี้สัญญาจะจ่ายให้กับผู้ลงทุนในตราสารหนี้ตามงวดที่กำหนดตลอดอายุของตราสารหนี้นั้นๆ
วันครบกำหนดอายุของตราสารหนี้ (Maturity date)
วันที่ผู้ออกสัญญาว่าจะชำระคืนตามมูลค่าที่ตราไว้ของพันธบัตรให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ อาจเป็นระยะสั้น (น้อยกว่า 1 ปี) หรือระยะยาว (ไม่เกิน 30 ปีขึ้นไป)
ความสัมพันธ์ระหว่างราคาพันธบัตรและอัตราผลตอบแทนคืออะไร?
ความสัมพันธ์ระหว่างราคาพันธบัตรและอัตราผลตอบแทนมีความสำคัญแต่กลับตรงข้ามกัน ราคาพันธบัตรที่ต่ำกว่ามูลค่าหน้าตั๋วต่อหน่วยส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงกว่าอัตราดอกเบี้ย ในขณะเดียวกัน ราคาพันธบัตรที่สูงขึ้นทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลงเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว
ดังนั้นการคำนวณอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจึงขึ้นอยู่กับราคาพันธบัตรและอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว การลดลงของราคาพันธบัตรทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้น และการเพิ่มขึ้นของราคาพันธบัตรส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลง
วิธีคำนวณอัตราผลตอบแทนพันธบัตร
พันธบัตรคือเงินให้กู้ยืมแก่ผู้ออกพันธบัตรที่ช่วยให้นักลงทุนได้รับดอกเบี้ยตลอดอายุและรับมูลค่าของพันธบัตรที่ตกลงกันไว้เมื่อครบกำหนด นักลงทุนสามารถซื้อพันธบัตรได้ในราคาพิเศษหรือมีส่วนลด ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงอัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับ
ในการคำนวณอัตราผลตอบแทนของพันธบัตร คุณต้องรู้จักตัวเลข 2 ตัว ได้แก่ การชำระอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋วประจำปีของพันธบัตรและราคาพันธบัตร อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋วคืออัตราดอกเบี้ยรายปีที่กำหนดไว้ ณ เวลาที่ซื้อ และการชำระเงินดอกเบี้ยรายปี ระบบจะคำนวณโดยการบวกดอกเบี้ยรายปีที่ได้รับ ราคาพันธบัตรคือราคาปัจจุบัน วิธีง่ายๆ วิธีหนึ่งในการคำนวณอัตราผลตอบแทนพันธบัตรคือการหารการชำระดอกเบี้ยหน้าตั๋วด้วยมูลค่าหน้าตั๋วต่อหน่วย
อย่างไรก็ตาม สูตรนี้ไม่ได้คำนึงถึงมูลค่าเงินตามเวลา มูลค่าครบกำหนดไถ่ถอน หรือความถี่ในการชำระเงิน ดังนั้นจึงไม่ได้ให้ผลตอบแทนพันธบัตรที่แน่นอน ถึงกระนั้นก็สามารถช่วยให้พอจะประเมินมูลค่าได้
การจัดอันดับพันธบัตรมีตั้งแต่เกรด “AAA” ซึ่งหมายถึงพันธบัตรระดับการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ ไปจนถึง “D” ซึ่งหมายถึงพันธบัตรผิดนัดชำระหนี้หรือ “ขยะ” ซึ่งมีความเสี่ยงสูงสุด เมื่อราคาพันธบัตรเปลี่ยนแปลง อัตราผลตอบแทนก็จะเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณซื้อพันธบัตรมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1,000 ดอลลาร์และ 10% coupon rate และพันธบัตรในตลาดกำลังขายในราคา 800 ดอลลาร์
ในกรณีนั้น ราคาพันธบัตรจะขายต่ำกว่า face value หากคุณขายในราคา $800 ผลตอบแทนจะเท่ากับ 12.5% ($100/$800) หากคุณขายในราคา $1,200 ผลตอบแทนจะเท่ากับ 8.33% ($100/$1,200) โดยไม่คำนึงถึงราคาตลาดของตราสารหนี้ coupon rate ยังคงเหมือนเดิม ในตัวอย่างที่กล่าวถึง ผู้ถือพันธบัตรจะยังคงได้รับ $100 ต่อปี
อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 4 ประเภทหลักพร้อมสูตรและการคำนวณ
แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนปัจจุบันจะเป็นประโยชน์ในการประเมินผลตอบแทนที่เกิดจากพันธบัตร แต่ก็ยังมีมีข้อจำกัด วิธีนี้ไม่ได้คำนึงถึงมูลค่าของดอกเบี้ยที่ลงทุนใหม่ ทำให้เมื่อพันธบัตรของคุณถูกคัดออกจากกลุ่มการลงทุนก่อนเวลาหรือหากคุณต้องการประเมินอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำที่เป็นไปได้ใหม่นั้นมีข้อมูลไม่เพียงพอ
ในการประเมินสถานการณ์เหล่านี้ให้แม่นยำ คุณจำเป็นต้องมีการคำนวณผลตอบแทนขั้นสูงเพิ่ม มาดูข้อมูลผลตอบแทนพันธบัตรในประเภทต่างๆ กัน
อัตราผลตอบแทนปัจจุบัน
อัตราผลตอบแทนปัจจุบันหรือที่เรียกว่า coupon rate หมายถึงอัตราดอกเบี้ยรายปีคงที่ ณ เวลาที่ออกพันธบัตรและคงที่ไว้ตลอดอายุของพันธบัตร
สูตรของอัตราผลตอบแทนปัจจุบันคำนวณโดยการหาร coupon yield ของพันธบัตรด้วยราคาตลาดในปัจจุบัน เพราะราคาตลาดปัจจุบันของพันธบัตรแตกต่างกันไป อัตราผลตอบแทนปัจจุบันก็จะผันผวนตามไปด้วย
อัตราผลตอบแทนถึงวันครบกำหนดอายุ (YTM)
อัตราผลตอบแทนถึงวันครบกำหนดอายุ หรือ Yield to maturity (YTM) เป็นเมตริกที่สำคัญสำหรับนักลงทุนตราสารหนี้ มันช่วยกำหนดอัตราดอกเบี้ยโดยรวมที่ได้รับจากนักลงทุนที่ถือพันธบัตรจนครบกำหนด YTM คืออัตราคิดลดที่เทียบมูลค่าปัจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคตของพันธบัตร รวมถึง coupon payment และ maturity value กับราคาตลาดปัจจุบัน นี่เป็นกระบวนการลองผิดลองถูกที่สามารถคำนวณได้โดยใช้เครื่องคำนวณทางการเงิน นี่คือสูตรสำหรับการอ้างอิง
ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าพันธบัตรมี par value 10,000 ดอลลาร์ และคุณซื้อที่ราคา 90 ดอลลาร์ นั่นหมายความว่าคุณจะจ่าย 90% ของ par value หรือ 9,000 ดอลลาร์ สมมติว่าครบกำหนดใน 5 ปี
อัตราผลตอบแทนปัจจุบันของพันธบัตรคือ 6.7% (ดอกเบี้ยรายปี $600 / $9,000 * 100)
โปรดจำไว้ว่าอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรที่จะครบกำหนดในกรณีนี้จะสูงกว่าปกติเนื่องจากพิจารณาว่าคุณจะได้รับดอกเบี้ยทบต้นจากการลงทุนใหม่จำนวน 600 ดอลลาร์ที่คุณได้รับทุกปี อัตราผลตอบแทนจะคำนวณว่าเมื่อพันธบัตรครบกำหนด คุณจะได้รับ 10,000 ดอลลาร์ ซึ่งมากกว่า 1,000 ดอลลาร์ที่คุณจ่ายไป
สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่า YTM อาจแตกต่างจาก coupon rate ของพันธบัตรและถือว่าการชำระเงินของ coupon และเงินต้นตรงเวลา ไม่พิจารณาภาษีหรือค่าธรรมเนียมนายหน้าที่เกี่ยวข้องกับการซื้อ นอกจากนี้ การคำนวณ YTM มักจะถือว่าเงินปันผลนั้นถูกนำไปลงทุนใหม่
แม้จะมีข้อจำกัด YTM ยังคงเป็นตัวชี้วัดที่มีประโยชน์สำหรับนักลงทุนพันธบัตรเพราะมันช่วยเปรียบเทียบพันธบัตรต่างประเภทๆ และผลตอบแทนที่เป็นไปได้
อัตราผลตอบแทนจากหุ้นกู้ประเภทไถ่คืนได้ก่อนกำหนด (YTC)
อัตราผลตอบแทนจากหุ้นกู้ประเภทไถ่คืนได้ก่อนกำหนดหรือ Yield To Call (YTC) โดยอัตราผลตอบแทนขึ้นอยู่กับวันที่หุ้นกู้ถูกไถ่ถอนคืน และไม่สามารถใช้อัตราผลตอบแทนเมื่อครบกำหนดไถ่ถอนตามปกติได้
YTC กำหนดโดยใช้การคำนวณแบบเดียวกับ YTM แต่แทนที่จะใช้วันที่ครบกำหนด YTC จะใช้วันที่เรียกเก็บและราคาเรียก ซึ่งจะต้องคำนวณโดยใช้วันแรกที่ผู้ออกสามารถเรียกพันธบัตรได้
พันธบัตรมีวันที่เรียกเก็บที่แตกต่างกัน และอาจจ่ายดอกเบี้ยต่อไปตามวันที่กำหนดจนกว่าจะครบกำหนด หรือมีการจ่ายดอกเบี้ยเป็นรายปีเท่านั้น หากราคาตราสารหนี้สูงกว่าพาร์และซื้อขายที่ระดับพรีเมียม โอกาสในการเรียกเก็บก่อนกำหนดอาจสูงขึ้น จากนั้นผู้ออกพันธบัตรสามารถออกพันธบัตรใหม่ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า แม้ว่าราคา Early Call อาจมีเบี้ยประกันภัยภายใต้ข้อกำหนดและเงื่อนไขเดิม
ในการคำนวณผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้นจากพันธบัตรที่เรียกเก็บ นักลงทุนต้องประเมินผลตอบแทนที่ได้จากการ call และ YTM สิ่งสำคัญคือต้องพิจารณากรอบของผลตอบแทนที่มีอยู่ เพื่อให้เข้าใจถึงสิ่งที่เป็นไปได้
ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Ridgeways Ltd ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพิ่งออกพันธบัตรอัตราดอกเบี้ยคงที่ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 31 ธันวาคม 2025 ปัจจุบันพันธบัตรดังกล่าวมีการซื้อขายที่ระดับพรีเมียม $2.50 ดังนั้นอัตราผลตอบแทนที่จะครบกำหนดคือ 6.82% ต่อปี อย่างไรก็ตาม มีวันที่ call 2 วัน ตามตารางด้านล่างนี้
การซื้อพันธบัตรแบบอัตราดอกเบี้ยคงที่ของบริษัท Ridgeways Ltd ที่ราคา $102.5
วันที่ | อัตราผลตอบแทน (p.a) | รายละเอียด | ราคาที่ต้องจ่ายให้นักลงทุน |
31/12/2023 | 7.60% | First Call | $103.00 |
31/12/2024 | 7.07% | Second Call | $101.50 |
31/12/2025 | 6.82% | Maturity | $100 |
ในสถานการณ์นี้ อัตราผลตอบแทนที่น้อยที่สุดและอัตราผลตอบแทนเมื่อครบกำหนดอยู่ที่ 6.82% ต่อปี อย่างไรก็ตาม คุณควรทราบว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะแตกต่างกันไปตามการเปลี่ยนแปลงของราคา ตัวอย่างเช่น หากราคาซื้อเพิ่มขึ้นจาก $102.5 เป็น $106 ผลตอบแทนก็จะแตกต่างออกไป ในกรณีนี้ ผลตอบแทนที่ต่ำที่สุดที่เป็นไปได้คือผลตอบแทนจากการ call ครั้งแรก ไม่ใช่ผลตอบแทนเมื่อครบกำหนด
การซื้อพันธบัตรแบบอัตราดอกเบี้ยคงที่ของบริษัท Ridgeways Ltd ที่ราคา $106
วันที่ | อัตราผลตอบแทน (p.a.) | รายละเอียด | ราคาที่ต้องจ่ายให้นักลงทุน |
31/12/2023 | 5.76% | First call | $103.00 |
31/12/2024 | 5.80% | Second call | $101.50 |
31/12/2025 | 5.84% | Maturity | $100 |
อัตราผลตอบแทนที่แย่ที่สุด (YTW)
อัตราผลตอบแทนที่แย่ที่สุด (YTW) คือการวัดอัตราผลตอบแทนที่มีศักยภาพต่ำสุดของพันธบัตร ที่พิจารณาทั้งอัตราผลตอบแทนจนถึงวันครบกำหนด (YTM) และอัตราผลตอบแทนจากหุ้นกู้ประเภทไถ่คืนได้ก่อนกำหนด (YTC) โดยจะใช้ค่าที่ต่ำกว่า นี่เป็นข้อมูลสำคัญที่ต้องรู้สำหรับการประเมินความเสี่ยง เพราะเป็นการบ่งชี้ถึงผลตอบแทนที่เป็นไปได้ที่ปลอดภัยมากที่สุดที่พันธบัตรสามารถให้ได้
อย่างไรก็ตาม YTM และ YTC เป็นเพียงค่าที่ถูกประเมินออกมาและอาจไม่สะท้อนผลตอบแทนรวมของพันธบัตร ซึ่งสามารถคำนวณได้อย่างแม่นยำเมื่อขายหรือครบกำหนดเท่านั้น
อัตราผลตอบแทนที่แย่ที่สุดนั้นมีประโยชน์เพราะมันสามารถใช้คำนวณความเป็นไปได้ที่พันธบัตรจะถูกเรียกคืนในช่วงเวลาที่อาจจะเกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด หรือไม่ถูกเรียกเลย ซึ่งจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนลดลง ปัจจัยนี้ถือว่ามีความเสี่ยงเกี่ยวข้องอย่างยิ่งเนื่องจากพันธบัตรได้รับการออกแบบมาเพื่อให้การป้องกันการขาดทุนแก่นักลงทุน YTW คืออัตราผลตอบแทนต่ำสุดที่นักลงทุนสามารถคาดหวังได้หากผู้ออกพันธบัตรไม่ผิดนัดชำระ
YTW อาจเหมือนกับ YTC หากการ call ครั้งแรกให้ผลตอบแทนที่แย่ที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ หรืออาจจะเหมือนกับ YTM หากไม่มีการเรียกคืนพันธบัตรเลย หากผู้ออกพันธบัตร call มาในวันที่สองหรือวันถัดไป YTW อาจต่ำกว่าทั้ง YTC และ YTM ส่งผลให้นักลงทุนได้ผลตอบแทนน้อยลง
หากนักลงทุนซื้อพันธบัตรอัตราดอกเบี้ยคงที่ 106.25 ดอลลาร์ ผลตอบแทนที่แย่ที่สุดสำหรับนักลงทุนอาจจะเกิดขึ้นหากผู้ออกออกพันธบัตรเรียกคืนพันธบัตรในวันแรกทันทีที่สามารถทำได้ เพราะนั่นจะทำให้พวกเขาจะได้รับผลตอบแทน 3.6% ต่อปี อย่างไรก็ตาม หากผู้ออกตราสารหนี้ไม่ชำระคืนในวันที่เรียกชำระครั้งแรก นักลงทุนมีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น หากครบกำหนด ผลตอบแทนที่ดีที่สุดที่นักลงทุนจะได้รับจากพันธบัตรคือ 6.33% ต่อปี อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มว่าผู้ออกพันธบัตรจะเลือกชำระพันธบัตรคืนก่อนกำหนด และรีไฟแนนซ์พันธบัตรในอัตราที่ถูกกว่า
พันธบัตรอัตราดอกเบี้ยคงที่หลายภาคส่วน USD
วันที่ | อัตราผลตอบแทน (p.a) | รายละเอียด | ราคาที่ต้องจ่ายให้นักลงทุน |
30/06/2023 | 3.60% | First call | $104.19 |
30/06/2024 | 5.25% | Second call | $102.9 |
30/06/2025 | 5.61% | Third call | $100 |
30/06/2026 | 6.33% | Maturity | $100 |
เมื่อพันธบัตรถูกถือไว้จนครบกำหนดโดยไม่มีการเรียกชำระหรือการผิดนัดชำระหนี้ การลงทุนในพันธบัตรนั้นค่อนข้างง่าย อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรตระหนักถึงอัตราผลตอบแทนที่เสนอซื้อเมื่อลงทุนในตลาดพันธบัตร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พันธบัตรที่เรียกคืนได้และอัตราผลตอบแทนที่เรียกเก็บได้ก่อนกำหนด (YTC)
7 ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตร
อัตราดอกเบี้ย
เมื่อธนาคารกลางลดฐานอัตราดอกเบี้ย อัตราผลตอบแทนพันธบัตรก็มีแนวโน้มจะปรับตัวลดลงเช่นกัน ในช่วงเวลานั้น ผู้คนมักจะมองหาการลงทุนทางเลือก เช่น พันธบัตรรัฐบาล เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในธนาคารที่ลดลง
การจัดอันดับสินทรัพย์โดยหน่วยงานที่มีชื่อเสียง
เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับความสามารถของผู้ออกพันธบัตรในการชำระดอกเบี้ยและชำระคืนเงินต้น สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ เช่น Moody’s, Standard and Poor’s และ Fitch จัดอันดับเครดิตให้กับผู้ออกพันธบัตรและพันธบัตรเฉพาะ การจัดหมวดหมู่ความเสี่ยงด้านเครดิตมีตารางประกอบดังต่อไปนี้
โดยทั่วไป อันดับเครดิตที่สูงขึ้นบ่งชี้ถึงความสามารถในการปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระเงินคืน การเปลี่ยนแปลงในอันดับเครดิตอาจส่งผลกระทบต่อราคาตราสารหนี้ การได้รับคะแนนที่ดีขึ้นทำให้ราคาพันธบัตรนั้นๆ สูงขึ้น ในขณะเดียวกัน การให้คะแนนต่ำลงจะทำให้ราคาพันธบัตรนั้นๆ ลดลง
นักลงทุนสถาบันในตราสารหนี้ของบริษัทมักจะเสริมอันดับของพันธบัตรเหล่านี้ด้วยการวิเคราะห์สินเชื่อของตนเอง พวกเขามักใช้เมตริกวัดแบบดั้งเดิม เช่น อัตราส่วนความสามารถในการชำระดอกเบี้ยและอัตราส่วนเงินทุนเพื่อประเมินความเสี่ยงด้านเครดิต ผู้ออกพันธบัตรที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตสูงกว่ามักจะเสนอหุ้นกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
เงินเฟ้อ
ราคาพันธบัตรมักจะลดลงเมื่ออัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้นเมื่ออัตราเงินเฟ้อลดลง สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะอัตราเงินเฟ้อลดกำลังซื้อของผลตอบแทนจากการลงทุน ดังนั้น เมื่อพันธบัตรครบกำหนด ผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนในรูปแบบของเงินดอลลาร์สหรัฐจะมีมูลค่าน้อยลงเพราะปัญหาเงินเฟ้อ
เวลาที่จะครบกำหนดพันธบัตร
พันธบัตรระยะยาวที่มีวันครบกำหนดจะอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยมากกว่าพันธบัตรระยะสั้น หากอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ราคาพันธบัตรระยะยาวมีแนวโน้มลดลงในอัตราที่เร็วกว่าเมื่อเทียบกับพันธบัตรระยะสั้น ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า bond duration factor
อุปสงค์และอุปทาน
มีความสัมพันธ์แบบผกผันระหว่างอัตราผลตอบแทนพันธบัตรและราคาพันธบัตร เมื่อความต้องการซื้อพันธบัตรเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาสูงขึ้น อัตราผลตอบแทนจะลดลง ในทางกลับกัน เมื่อความต้องการซื้อพันธบัตรลดลง ราคาพันธบัตรลดลง อัตราดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนพันธบัตรฯ จะเพิ่มขึ้น
ภาวะเศรษฐกิจ
เมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจแข็งแกร่ง การลงทุนในรูปแบบอื่นๆ เช่น หุ้นและทุนส่วนตัวอาจมีความน่าสนใจมากกว่าพันธบัตร ซึ่งส่งผลให้ความต้องการพันธบัตรลดลง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ออกพันธบัตรเสนออัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเพื่อดึงดูดนักลงทุน
เหตุการณ์ทางการเมืองและภูมิรัฐศาสตร์
เหตุการณ์ต่างๆ เช่น สงคราม ความไม่มั่นคงทางการเมือง และภัยธรรมชาติสามารถเพิ่มความไม่แน่นอนและความเสี่ยง ซึ่งนำไปสู่ผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้น
เหตุใดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจึงมีความสำคัญ ?
เหตุใดคุณจึงควรสนใจอัตราผลตอบแทนพันธบัตร? อัตราผลตอบแทนพันธบัตรเป็นตัวบ่งชี้ความแข็งแกร่งของตลาดหุ้นและระดับดอกเบี้ยของเงินดอลลาร์สหรัฐที่สำคัญ หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลง หมายความว่าราคาพันธบัตรสูงขึ้น ซึ่งบ่งชี้ถึงความต้องการพันธบัตรที่เพิ่มขึ้น ความต้องการพันธบัตรมักจะเพิ่มขึ้นเมื่อนักลงทุนในตลาดหุ้นมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของการลงทุนในหุ้นและแสวงหาการลงทุนที่ปลอดภัยกว่า เช่น พันธบัตร
ในทางกลับกัน หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้น ราคาพันธบัตรจะลดลง ซึ่งบ่งชี้ว่าอุปสงค์ของพันธบัตรลดลง ความต้องการพันธบัตรมักจะลดลงเมื่อนักลงทุนพันธบัตรรู้สึกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นจะได้ผลกำไรมากกว่าการลงทุนในพันธบัตร ซึ่งอาจทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงได้
เรียนรู้วิธีการเทรดด้วยบัญชีเงินสมมุติ
หากคุณต้องการเรียนรู้วิธีการเป็นนักลงทุนใน ตลาดการเงิน เราขอแนะนำให้คุณเปิด บัญชีเงินสมมุติ ATFX มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินชื่อดังบนแพลตฟอร์มการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ นักลงทุนสามารถฝึกฝนกลยุทธ์ต่างๆ ในขณะเดียวกัน ก็ยังคงสามารถเรียนรู้จากคำแนะนำหรือเอกสารการฝึกอบรมฟรีที่ ATFX มอบให้ ดังนั้น รับบัญชีเทรดเงินสมมุติของคุณฟรีได้แล้ววันนี้!