นักลงทุนส่วนใหญ่ทราบดีว่ามีดัชนีหุ้นสหรัฐที่สำคัญสามตัว ได้แก่ ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones) แนสแด็ก (Nasdaq) และเอสแอนด์พี 500 (S&P 500) แต่สำหรับนักลงทุนมือใหม่ พวกเขาไม่ค่อยคุ้นเคยกับดัชนีทั้งสามนี้ และวิธีการลงทุนที่มีเอกลักษณฺเฉพาะต่างกันออกไป บทความนี้จะแนะนำความสำคัญของดัชนีหุ้นสามตัวในสหรัฐฯ และวิธีที่นักลงทุนควรอ้างอิงถึงเมื่อทำการลงทุน
1. ดัชนีดาวโจนส์: มาตรวัดภาพรวมที่สำคัญของตลาดการเงินโลก
ถึงแม้ว่าหุ้นจะมีประวัติศาสตร์อันยาวนานในโลก แต่ดัชนีดาวโจนส์ก็มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 100 ปี หุ้นที่สามารถขึ้นมาสังกัดอยู่บนดาวโจนส์นั้นมีเพียง 30 ตัวเท่านั้น เป็นหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่มีชื่อเสียงที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา 30 แห่ง แน่นอน ทุกคนรู้ดีว่ามีหุ้นสหรัฐมีมากกว่า 10,000 ตัว ดังนั้นดัชนีดาวโจนส์ ที่มีหุ้นเพียง 30 ตัวจึงเป็นมาตรวัดเศรษฐกิจสำคัญของผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการหลายคน
ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้รู้ว่าเพียง 30 หุ้นไม่ได้เป็นตัวแทนภาพรวมของตลาดทั้งหมด แต่ถ้าหุ้น 30 ตัวนี้ต่างก็เป็นยักษ์ใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา 30 ตน ย่อมจะเป็นสัญญาณบ่งบอกภาวะทางเศรษฐกิจบางอย่างของอเมริกาได้อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสามารถใช้เป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพของตลาดโดยรวมได้
2. ดัชนีแนสแด็ก: ตัวบ่งชี้การเติบโตทางเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกา
ดัชนีแนสแด็กถูกจัดตั้งขึ้นในปี 1971 เป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญที่สุดของหุ้นเทคโนโลยีในโลก ดัชนีแนสแด็กมีหุ้นอยู่ในสังกัดมากกว่า 5,000 ตัว ครอบคลุมถึงเทคโนโลยีชีวเคมีและสาขาอื่นๆ เช่น ซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ เซมิคอนดักเตอร์ การสื่อสารเครือข่าย ฯลฯ ดัชนีแนสแด็กถือเป็นมาตรฐานอ้างอิงที่สำคัญสำหรับการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี
นักลงทุนในตลาดดัชนีแนสแด็กนิยมทำธุรกรรมทางโทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ตล่วงหน้า และไม่จำเป็นต้องทำการซื้อขายในจังหวะที่ต้องตัดสินใจในทันที ธุรกรรมส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยีขั้นสูงโดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ เป็นตลาดซื้อขายหลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์แห่งแรกของโลก ดัชนี Starck มีระบบตลาดของตัวเอง และเป็นธุรกรรมหุ้นอิสระที่ดำเนินการซื้อขายหุ้นสำหรับนักลงทุน
3. ดัชนีแอสแอนด์พี 500: ตัวชี้วัดการขึ้นลงของเศรษฐกิจอเมริกา
ดัชนีเอสแอนด์พี 500 คือดัชนีที่รวมเอาหุ้นของบริษัทระดับท็อป 500 แห่งในสหรัฐอเมริกามารวมอยู่บนดัชนีนี้ คำว่าเอสแอนด์พีเป็นชื่อของบริษัทจัดอันดับ ส่วนตัวเลข 500 หมายถึงหุ้นระดับแนวหน้า 500 ตัวโดยอ้างอิงจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (market cap) และสภาพคล่อง การจัดอันดับของดัชนีเอสแอนด์พี 500 รวมเอาหุ้นจากทั้งสองตลาดอย่าง NYSE และ NASDAQ เข้ามาคำนวณด้วย
สิ่งที่ทำให้ดัชนีเอสแอนด์พี 500 กับดาวโจนส์ต่างกันคือเอสแอนด์พี 500 มักจะเป็นที่รวมตัวของบริษัทดาวรุ่งมากกว่าดัชนีดาวโจนส์ เอสแอนด์พี 500 สะท้อนภาพรวมการเปลี่ยนของเทรนด์ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ดีกว่า ที่สำคัญวิธีการคัดเลือกหุ้นเข้าสู่ดัชนีของทั้งสองก็ไม่เหมือนกัน ดาวโจนส์จะเลือกหุ้นโดยให้น้ไหนักไปที่ราคาหุ้น ในขณะที่เอสแอนด์พี 500 จะเลือกหุ้นโดยให้น้ำหนัดไปที่มูลค่าของหุ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าของผลิตภันฑ์ที่บริษัทนั้นๆ ทำได้มากกว่า ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเทรนด์เศรษฐกิจของอเมริกาด้วย
สิ่งสุดท้ายที่ทุกคนควรให้ความสนใจคือดัชนีหุ้นหลักสามตัวของสหรัฐที่กล่าวถึงข้างต้นประกอบด้วยหุ้นที่มีองค์ประกอบต่างกัน ตัวอย่างเช่น หากนักลงทุนซื้อหุ้น Google การขึ้นลงของราคาหุ้นของ Google จะไม่ส่งผลกระทบต่อดัชนี Dow Jones เนื่องจาก Google ไม่ได้เป็นสังกัดอยู่ในดาวโจนส์ ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ทั้งสามนี้จึงไม่สามารถรวมการขึ้นและลงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในแต่ละวันได้ เมื่อทำการลงทุน เทรดเดอร์ต้องไม่ดูดัชนีหุ้นสหรัฐเพียงตัวเดียว แต่ต้องดูภาพรวมจากทั้งสามดัชนีเข้าด้วยกัน เพื่อพิจารณาและปฏิบัติตามกลยุทธ์การซื้อขายเพื่อให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องมากขึ้น
ดาวน์โหลดบัญชี MT4 หรือทดลองเทรดในบัญชีเงินสมมุติเพื่อเริ่มต้นเส้นทางการลงทุนได้เลย!