คำว่าเลเวอเรจ (Leverage) หากเป็นดูในพจนานุกรมแล้วจะพบกับความหมายที่ว่า “การดึงกำลังหรือเทคนิคอื่นมาใช้ให้เกิดประโยชน์” ในโลกของการลงทุนทางการเงิน เลเวอเรจถือได้ว่าเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกตลาดจำเป็นที่จะต้องใช้ระบบเลเวอเรจเข้ามาช่วย ยกตัวอย่างเช่นในตลาดหุ้น A-Share ของจีน เหตุผลที่เลเวอเรจไม่จำเป็นในตลาดแห่งนี้นเพราะราคาหุ้นของหุ้นแต่ละตัวยังมีมูลค่าต่ำเกินไป หุ้น 10 หยวน มีเกณฑ์สำหรับการซื้อขายต่อหนึ่งล็อตอยู่ที่ 1,000 หยวน นักลงทุนรายย่อยยังสามารถเอื้อมถึงได้
ในตลาดซื้อขายล่วงหน้าของจีน เลเวอเรจมักจะตั้งไว้ที่ 20 เท่า ตัวอย่างเช่น สัญญาถั่วเหลืองที่มีขนาด 2105 หน่วย เทียบกับราคาปัจจุบันอยู่ที่ 3185 หยวน/ตัน และขนาดล็อต 10 ตัน เกณฑ์การทำธุรกรรมขั้นต่ำหากต้องการจะถือครองสัญญานี้คือ 31,850 หยวน จำนวนนี้เพียงพอที่จะทำให้นักลงทุนรายย่อยต้องพิจารณาดีๆ ก่อนตัดสินใจลงทุน
เพื่อเพิ่มสภาพคล่องของตลาดและอนุญาตให้นักลงทุนรายย่อยเข้าร่วมได้ ในความเห็นของเราถือว่าเหมาะสมแล้วที่ตั้งเลเวอเรจเอาไว้ที่ 20 เท่า ในสัญญาที่คล้ายกัน เทรดเดอร์ต้องจ่ายมาร์จิ้นเพียง 1,592 หยวนในการเทรด ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งใจที่จะถือสัญญาจนกว่าจะถึงกำหนด (การจัดส่งต้องชำระเงินเต็มจำนวน) แต่เข้าร่วมเพื่อเก็งกำไรจากค่าสเปรดของตลาดฟิวเจอร์สเท่านั้น
ทำไมค่าเลเวอเรจในตลาดฟอเร็กซ์ถึงได้มีราคาสูง?
การทำงานของระบบเลเวอเรจในตลาดหุ้นและตลาดสกุลเงินทำหน้าที่เหมือนกันคือเป็นตัวช่วยให้นักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าถึงตลาดใหญ่ได้โดยที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนสูง รู้หรือไม่ว่าความเป็นจริงแล้วหากจะต้องลงทุนฟอเร็กซ์โดยไม่มีระบบเลเวอเรจ มูลค่าของสัญญาในตลาดฟอเร็กซ์มีราคาสูงถึง 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเหรินหมินปี้ (RMB) ของจีนจะได้เท่ากับ 700,000 ซึ่งเป็นระดับของเงินทุนที่เกินความสามารถของนักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่
หลายคนตั้งคำถามถึงความจำเป็นว่าต้องใช้เงินลงทุนขั้นต่ำถึง $100,000 เชียวหรือ พร้อมกับถามถึงความเป็นไปได้ว่าสามารถทำให้ซื้อขายในหลักขั้นต่ำที่หนึ่งพันหรือหนึ่งหมื่นได้หรือไม่ ในระยะสั้นอาจจะทำได้ แต่ในระยะยาว การลงทุนด้วยเงินทุนจำนวนน้อยอาจไม่เพียงพอที่จะรับมือกับความผันผวนในตลาดสกุลเงิน ซึ่งแตกต่างจากตลาดหุ้นที่มีข้อกำหนดให้ลงทุนรายวันได้ไม่เกิน 10%
ขอยกตัวอย่างเป็นการลงทุนในคู่สกุลเงิน EURUSD ในปี 2019 ตอนนั้นค่าความผันผวนโดยเฉลี่ยมีตัวเลขอยู่ที่ 2.2% ในปี 2018 มีอยู่ที่ 4.45% ปี 2017 = 13.08% 2016 = 3.14% และปี 2015 มีความผันผวนอยู่ที่ 10.17% เมื่อนำตัวเลขเหล่านี้มาจับหาค่าเฉลี่ยร่วมกันจะพบว่าในช่วงห้าปีนั้นมีค่าความผันผวนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 10% ซึ่งถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับคู่สกุลเงินอื่นๆ การนำระบบเลเวอเรจมาใช้ยังมีความเป็นไปได้ที่จะคืนกำไรให้กับนักลงทุน
สาเหตุที่ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนมีน้อยเพราะอัตราแลกเปลี่ยนเป็นฐานของความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ หากอัตราแลกเปลี่ยนผันผวนบ่อยๆ จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่ออุตสาหกรรมนำเข้าและส่งออกของประเทศ นอกจากนี้ บริษัทเอกชนในประเทศมักต้องมีการทำธุรกรรมกับต่างประเทศเช่นการกู้ยืมเงิน หากอัตราแลกเปลี่ยนผันผวนอย่างรวดเร็ว จำนวนเงินกู้ยืมจะเปลี่ยนแปลงอย่างมากตามความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่เอื้อต่อการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินของบริษัท
โดยปกติ ค่าเลเวอเรจของตลาดฟอเร็กซ์จะมีค่าอยู่ระหว่าง 30 – 200 ที่จำนวน 50 หรือน้อยกว่านั้นถือเป็นระดับที่นักลงทุนสถาบันสามารถลงทุนได้ ในขณะที่นักลงทุนทั่วไป จะถูกจัดให้ลงทุนในระดับเลเวอเรจ 100 – 200 และด้วยลักษณะเฉพาะของตลาดฟอเร็กซ์ นักลงทุนรายย่อยจะไม่เอาการขึ้นลงของราคามาคำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยง แต่จะเทียบดูจากค่าความเบี่ยงเบนจากมาตรฐานมากกว่า
ยกตัวอย่างเช่น จุดมาตรฐานของ EURUSD คือ 0.0001 ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนคิดเป็นอัตราส่วนหนึ่งในหมื่น ในการเทรด EURUSD หนึ่งล็อต ภายใต้เลเวอเรจ 200 เท่า คุณจะต้องลงทุน 500 ดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น สำหรับความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนมาตรฐาน กำไรหรือขาดทุนของเทรดเดอร์จะคิดเป็น 10 ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงท้ายของวัน ความผันผวนของ EURUSD อาจอยู่ระหว่างสิบถึงร้อยจุด เพื่อให้สามารถทำกำไรได้มากภายใต้ความผันผวนต่ำ
เลเวอเรจสามารถสร้างกำไรที่รวดเร็ว แต่สร้างความเสียหายได้รวดเร็วเช่นเดียวกัน นี่คือสิ่งที่แลกมากับการให้นักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าถึงตลาดได้มากขึ้น ที่สำคัญนี่ยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการลงทุนโดยเฉพาะเมื่อขาดทุนไปแล้ว เทรดเดอร์หลายคนมองว่าสภาพคล่องที่มีมากเกินไปคือปัญหาของระบบเลเวอเรจ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วไม่เกี่ยวกัน นักลงทุนที่มีประสบการณ์จะเข้าใจถึงความเสี่ยงที่ตลาดแห่งนี้มี รวมถึงระบบเลเวอเรจ และจะหาวิธีอยู่กับตลาดหนี้ให้ได้ ซึ่งรวมถึงการบริหารจัดการความเสี่ยงด้วย
สององค์ประกอบสำคัญของการควบคุมความเสี่ยง: ตำแหน่งของออเดอร์และการตั้งจุดตัดขาดทุน
ความผิดพลาดอย่างแรกที่มักจะพบได้ทั่วไปในหมู่นักลงทุนมือใหม่คือพวกเขามักจะไม่ตั้งจุดตัดขาดทุน (stop-loss) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เปิดออเดอร์ที่มีขนาดลอตมากๆ เมื่อตลาดวิ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามกับสิ่งที่พวกเขาวิเคราะห์ การขาดทุนเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ออเดอร์นั้นถูกบังคับปิดจากระบบ MT4 เนื่องจากเงินไม่พอได้เลย ประเด็นนี้ต่อให้ไม่มีระบบเลเวอเรจเข้ามาช่วย นักลงทุนหรือเทรดเดอร์คนนั้นๆ ก็ยังมีโอกาสที่จะขาดทุนหนักอยู่ดี
จริงอยู่ว่าทุกคนต้องการลงทุนในตลาดเพื่อทำเงินให้ได้อย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่นักลงทุนมือใหม่มักจะเป็นคือพวกเขาขาดความอดทนและมักจะวางคำสั่งซื้อขายด้วยแนวคิด “การพนัน” สุดท้ายแล้วความคิดนั้นทำให้เทรดเดอร์ล้มเหลว โดยมีสาเหตุมาจากประสบการณ์ที่ยังไม่มีเพียงพอและให้อารมณ์ที่หุนหันพลันแล่นเป็นตัวชี้นำ ความคิดที่ว่า “ไม่ซิ่งก็ซี้” อาจจะทำให้เรามีความกล้าที่จะตัดสินใจมากขึ้น แต่หากไม่อยู่บนหลักการแล้ว สุดท้ายการซิ่งก็จะนำไปสู่การซี้อยู่ดี
นักลงทุนที่มีประสบการณ์แล้วรู้ดีว่าเสรีภาพทางการเงินไม่ได้เกิดขึ้นจากการเทรดเพียงครั้งเดียว แต่ต้องมีการสะสมประสบการณ์จากการเทรดจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน เทรดเดอร์ควรเรียนรู้วิธีการเทรด การลดขนาดออเดอร์ การตั้งจุดตัดขาดทุนจนเป็นนิสัย และที่สำคัญที่สุดคือการควบคุมอารมณ์ในการเทรด ความคิดเช่นนี้ต่างหากที่จะเป็นวิธีสร้างกำไรให้มั่นคงในระยะยาว
โดยสรุปแล้ว
ในโลกการเงินนั้นการใช้เลเวอเรจไม่ได้มีแต่เฉพาะตลาดฟอเร็กซ์เท่านั้น และคนในวงการการเงินก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีอยู่ในตลาดลงทุนมาอย่างช้านานเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับคนในวงการ ผู้ที่มีความรู้ทางการเงิน นักลงทุนสถาบัน ได้สามารถเข้าถึงการเงินระดับสูงได้ง่ายขึ้น เพราะไม่ว่าตลาดจะยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่ก็ต้องการสภาพคล่องเข้ามาเติมเต็มอยู่ตลอดเวลาอยู่ดี
ให้คิดง่ายๆ ว่าเลเวอเรจคือเงินดาวน์ 35% ซึ่งถือเป็นการก่อหนี้อีกประเภทหนึ่ง ผู้ซื้อต้องจ่ายเพียงส่วนหนึ่งของเงินดาวน์เพื่อซื้อบ้านพักอาศัย ผู้ที่ซื้อบ้านต้องประเมินความเสี่ยงเอาไว้อยู่แล้วว่าตัวเองมีกำลังผ่อนบ้านหลังนี้ไปได้อีกนานเท่าไหร่ งานที่ทำมีความเสี่ยงแค่ไหน หรืองานที่ทำอยู่มีโอกาสเติบโตไปได้มากน้อยแค่ไหนในอนาคต ดังนั้นเลเวอเรจจึงไม่ใช่ศูนย์กลางของปัญหา และเป็นประโยชน์ต่อผู้นักลงทุนที่มีประสบการณ์และมีดุลยพินิจ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นักลงทุนมืใหม่หรือมือเก่าก็ต้องระมัดระวังในการควบคุมความเสี่ยงเมื่อใช้เลเวอเรจ การควบคุมความเสี่ยงเป็นสิ่งที่พูดง่าย แต่ทำยาก มีแบบแผนและรายละเอียด แต่การฝึกให้ได้คิดเช่นนี้บ่อยๆ จากประสบการณ์ตรงจะทำให้ผู้ใช้จะได้รับประโยชน์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ดาวน์โหลดบัญชี MT4 หรือทดลองเทรดในบัญชีเงินสมมุติเพื่อเริ่มต้นเส้นทางการลงทุนได้เลย!