ในเดือนมกราคม ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ มีระดับอยู่ที่ 7.3% ต่อปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 40 ปี จึงทำให้ตลาดการลงทุนเชื่อว่าการขึ้นอัตราอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะเร็วเกินคาด หลายคนคาดว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมีนาคม โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเฟดอาจขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.5% แทนที่จะเป็น 0.25% เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ นอกจากนี้ เฟดอาจประกาศเร่งลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เป็นผลทำให้เงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าและอยู่เหนือระดับ 96
การปรับตัวขึ้นของดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ทำให้ดอลลาร์แข็งค่า
ในขณะที่ปัญหาเงินเฟ้อสูงในสหรัฐอเมริกายังคงดำเนินต่อไป นักลงทุนจะให้ความสนใจกับการรายงานข้อมูลตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) จากสหรัฐอเมริกาในเดือนมกราคม หลายคนจะสนใจว่าต้นทุนการผลิตจากโรงงานจะส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อในอนาคตหรือไม่ ตลาดลงทุนคาดการณ์ว่า PPl เดือนมกราคมของสหรัฐจะเพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเทียบกับก่อนหน้าที่ 0.2% ในขณะที่ PPI รายปีคาดว่าจะลดลงเหลือ 8.9% จาก 9.7% ของตัวเลขครั้งก่อน สมมติว่าตัวเลข PPI ปรับตัวเพิ่มขึ้น อาจจะเป็นการกระตุ้นให้เฟดเร่งรัดวางนโยบายการเงินให้เข้มงวดขึ้น และอาจเพิ่มการขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งในแง่ของตัวเลขและจำนวนครั้ง ภายใต้สถานการณ์นี้ กองทุนในตลาดเกิดใหม่จะเพิ่มการถือครองดอลลาร์สหรัฐ และจะยิ่งทำให้ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น
ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ส่งผลต่อแนวโน้มของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐในระยะสั้นคือความตึงเครียดระหว่างยูเครนและรัสเซีย ก่อนสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หน่วยข่าวกรองสหรัฐกล่าวว่ากองทหารรัสเซียได้เพิ่มกำลังของพวกเขาที่ชายแดนยูเครนจากสัปดาห์ก่อนหน้า สหรัฐฯ คาดว่าปฏิบัติการทางทหารในวันพุธนี้จะทวีความรุนแรงขึ้นในยูเครน ตามรายงานข่าวกรองของกองทัพ กองทัพสหรัฐฯ ได้ส่งทหารไปสนับสนุนแนวหน้าของยูเครน โปแลนด์ ประเทศเพื่อนบ้านอย่างอุซเบกิสถานได้ส่งทหารเพิ่มเพื่อป้องกันการใช้กำลังของกองทัพสหรัฐ ยูเครน และรัสเซีย ด้วยเหตุนี้ ความตึงเครียดทางการเมืองจึงทวีความรุนแรงขึ้น และเงินทุนบางส่วนได้ไหลเข้าสู่ดอลลาร์สหรัฐฯ ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ซึ่งสนับสนุนการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
ECB ไม่ต้องการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ
เงินยูโรอาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ตึงเครียดในยุโรป นอกจากนี้ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้ชี้แจงว่าแม้ปัญหาเงินเฟ้อในยูโรโซนจะสูงขึ้น แต่ก็ไม่มีความตั้งใจที่จะยกเลิกโครงการซื้อสินทรัพย์ (APP) และขึ้นอัตราดอกเบี้ย ข้อสังเกตที่ชัดเจนเหล่านี้ส่งผลต่อการแข็งค่าของสกุลเงินยูโรจากสัปดาห์ก่อน หลังจากแตะระดับสูงสุดที่ 1.1490 เมื่อเทียบกับดอลลาร์แล้ว EUR/USD ก็ปรับตัวลดลงไปที่ระดับ 1.13 ในเวลาต่อมา
หลายคนคาดว่าความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์จะดำเนินต่อไปในสัปดาห์นี้ เมื่อสงครามรุนแรงขึ้นและมีการปะทะ เงินทุนจะไหลเข้าสู่ดอลลาร์สหรัฐอย่างรวดเร็ว ด้วยสถานะการเป็นสินทรัพย์สำรองปลอดภัย หากเป็นเช่นนั้นสกุลเงินยูโรจะถูกกดัน เป็นผลให้คู่เงิน EUR/USD มีโอกาสปรับตัวลดลงทดสอบระดับ 1.12 หรือ 1.11 ในทางเทคนิค แต่ก่อนที่จะไปถึงแนวรับนั้น EUR/USD จะต้องผ่าน 1.1269 และ 1.1225 ให้ได้ก่อน หากหลุดแนวรับเหล่านี้ลงไปได้ มีโอกาสที่จะได้เห็น EUR/USD ลงไปถึง 1.1185 หรือ 1.1138