S&P 500
บทความนี้จะกล่าวถึงองค์ประกอบสำคัญของการลงทุนและการซื้อขายบนดัชนี S&P 500 เรามีเนื้อหาครอบคลุมพื้นฐานของการลงทุนใน S&P 500 อย่างมีประสิทธิภาพแม้เวลาจะผ่านไป นอกจากนี้ ยังมีการพูดถึงความแตกต่างระหว่างดัชนี S&P 500 และดัชนีฟิวเจอร์ส S&P 500 และหัวข้ออื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ทำไมถึงต้องเทรด & ลงทุนใน S&P 500 ที่ ATFX?
การให้บริการลูกค้า
ลูกค้าทุกท่านสามารถรับบริการช่วยเหลือจากฝ่ายบริการลูกค้าในท้องถิ่นแบบตัวต่อตัว ได้ตลอด 24/5 รวมไปถึงเครื่องมือและสื่อความรู้ต่างๆ
สเปรดต่ำ
ATFX เสนอสเปรดที่มีการแข่งขันสูงสำหรับS&P 500
การจัดการความเสี่ยงสำหรับS&P 500ที่มีประสิทธิภาพ
ใช้เครื่องมือจัดการความเสี่ยง เช่น คำสั่ง stop loss และ limit เพื่อปกป้องพอร์ตโฟลิโอของคุณเมื่อทำการเทรด CFDs ของS&P 500
การเทรดขั้นต่ำเริ่มตั้งแต่ 0.1 lots
ATFX มีขนาดของปริมาณการเทรดต่ำสุด 0.1 lots สำหรับนักลงทุน เพื่อช่วยให้นักลงทุนสามารถเริ่มต้นเทรดS&P 500ได้ด้วยความเสี่ยงต่ำที่สุด
กราฟจริงของดัชนี S&P 500
กราฟฟิวเจอร์สไลฟ์สดของ S&P 500
ดูผ่านๆ อาจจะเห็นว่ากราฟทั้งสองรูปด้านบนดูเหมือนจะไม่มีความแตกต่างกัน แต่ในความเป็นจริง ความแตกต่างจะชัดเจนมากขึ้นเมื่อคุณเปลี่ยนไปใช้กราฟแท่ง (bar chart) หรือกราฟแท่งเทียน (candlestick chart) กราฟดัชนี S&P 500 บันทึกการเคลื่อนไหวของราคาในตลาด อ้างอิงระหว่างชั่วโมงซื้อขายที่มีการเคลื่อนไหว S&P 500 เปิดให้ซื้อขายตั้งแต่ 9.30 น. ถึง 16.00 น. ตามเวลาตะวันออกของสหรัฐฯ ยกเว้นวันหยุดและวันหยุดสุดสัปดาห์ นอกเวลาดังกล่าว กิจกรรมราคาบนดัชนีจะไม่สะท้อนบนกราฟที่กำลังวิ่งอยู่ ณ เวลานั้นๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อตลาดเปิด พฤติกรรมราคาจะมาวิ่งในลักษณะเดียวกันกับตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า S&P 500 ก่อให้เกิดช่องว่างระหว่างราคา (gap price) บนกราฟไลฟ์สด
ในทางตรงกันข้าม กราฟฟิวเจอร์ส S&P 500 แสดงความเคลื่อนไหวของกราฟดัชนี CFD เปิดทำการ 23 ชั่วโมง/วัน ความเคลื่อนไหวของราคาสะท้อนบนแกราฟอย่างต่อเนื่องแม้ในขณะที่ตลาดไลฟ์สดปิด
เทรดเดอร์จำเป็นต้องสังเกตความแตกต่างนี้เนื่องจากความแตกต่างของราคาระหว่างกราฟดัชนี S&P 500 และกราฟฟิวเจอร์ส S&P 500 จะมีความเคลื่อนไหวแตกต่างกันตอนที่ตลาดพึ่งเปิดทำการ
วิธีลงทุนใน S&P 500 ใน 3 ขั้นตอนง่ายๆ
- สร้างบัญชีโดยกรอกแบบฟอร์มเปิดบัญชีออนไลน์ จากนั้นส่งเอกสารระบุตัวตนและถิ่นที่อยู่ของคุณเพื่อยืนยัน
- ฝากเงินเข้าบัญชีโดยใช้หนึ่งในตัวเลือกการชำระเงินที่มีให้
- เทรด
1.1. ขั้นตอนแรก ไม่ว่าคุณต้องการลงทุนใน S&P 500 ในรูปแบบไหนก็ตาม คุณต้องเปิดบัญชีกับนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์หรือโบรกเกอร์ ซึ่งหมายความว่าคุณควรใช้เวลาในการหาข้อมูลว่าโบรกเกอร์ใดบ้างที่เสนอเงื่อนไขการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายการลงทุนของคุณ
2. เงินทุนในบัญชี2.1. ดัชนี S&P 500 เป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวน และข้อกำหนดมาร์จิ้นนั้นมีเงื่อนไขที่ซับซ้อนกว่าตลาดฟอเร็กซ์ ดังนั้น คุณต้องเติมเงินในบัญชีของคุณและตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีเงินทุนเพียงพอในการรับความเสี่ยงกับความผันผวนของดัชนี หากคุณเทรดกับโบรกเกอร์เช่น ATFX คุณสามารถควบคุมผลกระทบจากการแกว่งของราคาได้ด้วยการเป็นเจ้าของเพียงส่วนหนึ่งของสัญญาซื้อขาย S&P 500
3. การเทรด3.1. การเทรดหมายถึงการซื้อกองทุนดัชนีที่ติดตามราคา S&P 500 หรือใช้คำสั่ง buy หรือ sell เพื่อทำกำไรจากการขึ้นลงของตลาดผ่าน CFD ที่มีเลเวอเรจของ S&P 500 เมื่อทำการลงทุนในดัชนี S&P 500 คุณต้องมีกลยุทธ์ที่จะทำกำไรและใช้การจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม
ทำไมถึงต้องลงทุนใน S&P 500 ผ่าน CFD? 3 ข้อดีที่คุณควรรู้!
- เป็นการลงทุนแบบพาสซีฟ
- กองทุนเหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว
- กองทุนมีแนวโน้มที่จะทำกำไรเมื่อเวลาผ่านไป
1.1. การซื้อขายสินทรัพย์ CFD ของดัชนี S&P 500 ช่วยให้คุณเข้าถึงเครื่องมือการลงทุนที่เป็นมิตรกับสภาพแวดล้อมการลงทุน ซึ่งให้โอกาสในการลงทุนที่เกือบจะต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น การระบาดใหญ่ของ COVID-19 ทำให้ตลาดสินทรัพย์ร่วงลง แต่ไม่ใช่กับ CFD ดัชนี S&P 500 ที่ยังสามารถทำกำไรได้ นอกจากนี้ เพราะดัชนี S&P 500 เคลื่อนไหวได้ทั้งขึ้นและลง CFD จึงเปิดโอกาสให้ลงทุนไม่ว่าตลาดจะปรับตัวขึ้นหรือว่าลดลง
2. เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว2.1. ตามหัวข้อก่อนหน้า ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอของ S&P 500 ทำให้การลงทุนในดัชนี S&P 500 เป็นช่องทางการลงทุนที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักลงทุนระยะยาว เมื่อเวลาผ่านไป มูลค่าของดัชนี S&P 500 มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น แนวโน้มในดัชนี S&P 500 สามารถอยู่ได้นาน ดังนั้น แม้ว่าคุณจะตัดสินใจซื้อ CFD ดัชนี S&P 500 เมื่อตลาดอยู่ในขาลง คุณก็ยังมีโอกาสทำกำไรได้ในระยะยาว หากคุณใช้กฎการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมเพื่อปกป้องบัญชีของคุณจากการขาดทุนมหาศาล
3. มีศักยภาพสำหรับผลกำไรที่มากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป3.1. ตั้งแต่ปี 2000 ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 307.32% การลงทุน 1,000 ดอลลาร์ในกองทุนดัชนี S&P 500 ในปี 2000 จะให้ผลตอบแทนเกือบ 4073.2 ดอลลาร์ในปี 2022 อย่างไรก็ตาม การซื้อขายดัชนี S&P 500 CFD นั้น สามารถให้ผลตอบแทนได้ 300% ถึง 500% ต่อปี หากผู้ค้าใช้กลยุทธ์ที่มีความยืนหยุ่นและการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม
สินทรัพย์ CFD ช่วยให้ผู้ซื้อขายสามารถเปิดสถานะ Long หรือ Short และใช้ประโยชน์จากราคาที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ คำถามคือ เป็นไปได้อย่างไรที่การซื้อขาย S&P 500 CFD ให้ผลตอบแทน 300% ต่อปี แทนที่จะเป็น 300% ในช่วง 20 ปีเหมือนที่ดัชนีหลัก? คำตอบคือใช้สูตรการทบต้นอย่างง่ายๆ ซึ่งอนุมานให้นักลงทุนซื้อขาย CFD ดัชนี S&P 500 เป็นเวลา 250 วันจาก 300 วันทำการซื้อขายในหนึ่งปีด้วยทุนเริ่มต้น $1,000 การลงทุนจะทำกำไร 1% ทุกวัน ลงทุนซ้ำและทบต้น 50% ของกำไรรายวันทั้งหมดที่ได้รับ และรับเปอร์เซ็นต์กำไรที่เหลือเป็นการจ่ายเงินภาพประกอบแสดงให้เห็นว่าเงินทุนจะเพิ่มจาก 1,000 ดอลลาร์เป็น 3,479 ดอลลาร์ โดยถอนเงินสดรวม 2,479.27 ดอลลาร์และกำไรสุทธิ 4,958.88 ดอลลาร์ ตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ว่าสามารถสร้างผลตอบแทน 300% ถึง 500% จากผลิตภัณฑ์ดัชนี S&P 500 ในรูปแบบ CFD โดยใช้ความเสี่ยงที่ระมัดระวังอย่างจริงจัง และกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน 1% ทุกวัน การคำนวณนี้อ้างอิงจากความจริงที่ว่าไม่ได้ทำการซื้อขายทุกวัน (50 วันจากปีการซื้อขาย 300 วัน) และจะมีวันที่ชนะและจาดทุนติดต่อกันหลายครั้ง ก็ยังได้ผลตอบแทน 1% เหมือนกัน
ผลตอบแทนจาก S&P 500 เฉลี่ยต่อปี
ผลตอบแทนย้อนหลังเฉลี่ยรายปีของดัชนี S&P 500 เป็นอย่างไร? ดังที่เราได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ผลตอบแทนประจำปีเฉลี่ยอยู่ที่ 6.44% สมมติว่าผู้ค้าใช้ผลิตภัณฑ์ CFD ที่มีเลเวอเรจเพื่อซื้อขายดัชนี S&P 500 ที่อ้างอิง การเทรด CFD ดัชนี S&P 500 ที่มีเลเวอเรจยังช่วยให้คุณได้กำไรจากผลตอบแทนที่ลดลงและสามารถมีขนาดใหญ่ขึ้นได้อย่างมาก
ประวัติการปันผลคือของ S&P 500 เทียบปีต่อปี
ทำไมนักลงทุนถึงใช้ S&P 500 เป็นมาตรวัดอ้างอิง?
ดัชนี S&P 500 ถูกใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานสำหรับการวัดประสิทธิภาพของตลาด โดยอ้างอิงจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดของบริษัทจดทะเบียนมากกว่า 4 ใน 5 ของตลาดหุ้นสหรัฐทั้งหมด การวัดค่าเช่นนี้จะให้ภาพที่แม่นยำว่าภาพรวมแล้วตลาดมีผลการดำเนินงานเป็นอย่างไร เมื่อมีมาตรวัดอ้างอิงแล้ว ดัชนี S&P 500 ยังทำให้ง่ายต่อการซื้อสินทรัพย์ที่ใกล้เคียงกัน กลายเป้นพื้นที่ให้ข้อมูลสำหรับการกระจายการลงทุนที่หลากหลาย
งานวิจัยยังแสดงให้เห็นด้วยว่าการลงทุนในหุ้นยักษ์ใหญ่บนดัชนี S&P 500 จะให้ผลตอบแทนที่เติบโตอย่างแน่นอน
S&P 500 คืออะไร? แล้วถูกใช้วัดอะไร?
หุ้นสิบอันดับแรกที่มีอิทธิพลสูงสุดบนดัชนี S&P 500 ในปี 2022
หุ้นสิบอันดับแรกที่มีอิทธิพลสูงสุดบนดัชนี S&P 500 ในปี 2022
- Apple Inc. (AAPL)
- Microsoft Corp. (MSFT)
- Amazon.com, Inc. (AMZN)
- Tesla, Inc. (TSLA)
- Alphabet Inc. Class A (GOOGL)
- Alphabet Inc. Class C (GOOG)
- Nvidia Corp. (NVDA)
- Berkshire Hathaway Inc. (BRK.B)
- Meta Platforms Inc.
- UnitedHealth Group Inc.
เริ่มต้นลงทุนใน S&P 500 ได้ง่ายๆ ใน 3 ขั้นตอน
ลงทะเบียนบัญชี
เปิดบัญชี
กรอกแบบฟอร์มใบสมัครบัญชีการเทรดจริงให้เสร็จ เมื่อเราได้ยืนยันตัวตนของคุณ เราจะสร้างบัญชีให้คุณ
ฝากเงินเข้าบัญชีของคุณ
ฝากเงินด้วยบัตรเดบิต อี-วอลเล็ต หรือการโอนผ่านธนาคารเพื่อเริ่มต้นเทรด
เริ่มต้นเทรด
เทรดบนทุกอุปกรณ์ โดยรวมถึงคอมพิวเตอร์, Android, iPad และ iPhone หรือผ่านเว็บเบราว์เซอร์
คำถามที่พบบ่อย
เวลาที่ดีที่สุดในการลงทุนกับ S&P 500 คือช่วงที่มีการปรับฐานจากจุดสูงสุดล่าสุดลงมา วิธีนี้จะช่วยให้คุณมีจุดเข้าที่ดีกว่าเนื่องจากคุณจะเข้าซื้อในตำแหน่งราคาที่ถูกกว่า
สินทรัพย์ดัชนี S&P 500 ซึ่งซื้อขายเป็นกองทุนดัชนีหรือ ETF ให้ผลตอบแทนเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งมีความเสี่ยงน้อยกว่าการซื้อขายหุ้นทีละตัว นอกจากนี้ กองทุนดัชนียังเปิดเผยให้คุณเห็นรายการของหุ้นบริษัท ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการซื้อขายหุ้นแต่ละตัว และลดความเสียหายจากการลงทุนในหุ้นเพียงตัวเดียวหากมูลค่าของหุ้นตัวนั้นลดลง
มูลค่าของดัชนี S&P 500 จะลดลงอย่างมากหากหุ้น 10 อันดับแรกได้รับผลกระทบ
ดัชนีดาวโจนส์เป็นดัชนีที่ถ่วงน้ำหนักด้วยราคาตลาด ในขณะที่ S&P 500 เป็นดัชนีที่ถ่วงน้ำหนักด้วยราคาตลาด ดาวโจนส์อ้างอิงราคาจากหุ้นขนาดใหญ่ 30 ตัว ในขณะที่ S&P 500 อ้างอิงราคาตามหุ้น 500 ตัว
ดัชนี S&P 500 ถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1957
S&P 500 มีตัวย่อเรียกแทนหลายอย่างเช่น US500, SPX500 หรือ SP500
หากคุณเป็นนักลงทุนระยะยาว ค่าเฉลี่ยราคาหนึ่งดอลลาร์สามารถซื้อหุ้นได้เป็นจำนวนคงที่ต่อเดือน เมื่อดัชนีปรับตัวลดลง คุณจะสามารถเพิ่มปริมาณเงินในการเข้าซื้อได้ ตราบใดที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงเติบโตในระยะยาว ดัชนี S&P 500 ก็คาดว่าจะไปได้ดี
คุณสามารถใช้ตัวบ่งชี้โมเมนตัมหรืออินดิเคเตอร์เช่น Relative Strength Index (RSI) เพื่อกำหนดว่าเมื่อใดที่ดัชนี S&P 500 ได้เข้าสู่โซนที่มีแรงซื้อมากเกินไปแล้ว (overbought) ได้ (เช่นโซน RSI ระหว่าง 70-100)