เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับเงินปอนด์ที่อ่อนค่า และควบคุมอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ขณะนี้ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษ (BoE) ได้กำหนดให้เริ่มขายพันธบัตรรัฐบาล ที่ซื้อในช่วงทศวรรษของการทำนโยบายการเงินผ่อนคลายเชิงปริมาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พันธบัตรที่ขายในช่วงการระบาดใหญ่ของ COVID-19 จนนำมาสู่อัตราเงินเฟ้อในปัจจุบัน การขายพันธบัตรรัฐบาลมีมูลค่ามากกว่า 40 พันล้านปอนด์ (เท่ากับ 49 พันล้านดอลลาร์) โดยหวังว่าจะช่วยลดจำนวนเงินหมุนเวียนในระบบลงได้
การขายพันธบัตรฯ จะเริ่มอย่างเป็นทางการในช่วงครึ่งหลังของเดือนกันยายน ซึ่งยังเป้นช่วงที่อยู่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของตลาดและสภาวะเศรษฐกิจ ถึงกระนั้น การขายพันธบัตรฯ จะต้องมีการลงคะแนนเสียงยืนยันในขั้นสุดท้าย ซึ่งจะเกิดขึ้นในการประชุมวันที่ 15 กันยายน 2022
Dave Ramsden รายงานว่ามีความจำเป็นต้องปรับปรุงการขายพันธบัตรอย่างต่อเนื่องเนื่องจากสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อการขายดังกล่าวเริ่มในเดือนหน้า เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า BoE ไม่ได้คาดหวังว่าการขายพันธบัตรจะมีบทบาทสำคัญในการทำนโยบายการเงินให้ตึงตัวมากขึ้นเมื่อเทียบกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย BoE หวังเพียงต้องการยืนยันว่าจะมีทรัพยากรเพียงพอต่อการทำ QE เมื่อใดก็ตามที่มีความจำเป็น
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เชื่อว่าการขายพันธบัตรไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการสื่อสารอย่างเหมาะสม ความเสี่ยงเพียงอย่างเดียวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ (อย่างที่หลายคนคาดไว้) คือความผันผวนสูงเนื่องจากการไม่มีความต้องการซื้อพันธบัตรรัฐบาลในระยะสั้นของสหราชอาณาจักรคืน
BoE จะตั้งค่าวงเงินซื้อคืนระยะสั้น 7 วันรายสัปดาห์ ซึ่งจะช่วยคณะกรรมการฯ ในการรักษาอัตราดอกเบี้ยในตลาดให้ใกล้เคียงกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคาร สาเหตุหลักของการเพิ่มจำนวนพันธบัตรที่รัฐบาลซื้อก่อนหน้านี้เป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ COVID-19 ซึ่งรัฐบาลได้ซื้อเพิ่มเป็นสองเท่าจากปี 2019 โดยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงล็อกดาวน์ อย่างไรก็ตาม พวกเขาล้มเหลวในการนำเงินที่ได้มาใช้ใหม่ ซึ่งทำให้พอร์ตการลงทุนหดตัวลงเหลือ 844 พันล้านปอนด์จากการซื้อพันธบัตรจำนวน 875 พันล้านปอนด์
แอนดรูว์ เบลีย์เน้นว่าธนาคารควรลดการถือครองลง 50-100 พันล้านปอนด์ในช่วงปีแรกของการทำนโยบายการเงินแบบเข้มงวด และควรจะรักษาสถานะนี้ไว้ไปจนกระทั่งถึงปีหน้า ดังนั้น BoE คาดว่าจะลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลลง 80 พันล้านปอนด์ตั้งแต่เดือนกันยายน และคงจังหวะไว้จนกว่าจะถึงเวลาที่สมควร ธนาคารกลางฯ หวังว่าจะทำยอดขายพันธบัตรมากกว่า 10 พันล้านปอนด์ต่อไตรมาส
นโยบายการเงินแบบหดตัวคืออะไร?
การทำนโยบายการเงินแบบตึงตัวเป็นนโยบายการเงินสำคัญที่ธนาคารกลางฯ ใช้เพื่อลดปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบ ธนาคารกลางฯ ขายพันธบัตรที่รัฐบาลสะสมทั้งหมดเพื่อทำให้บัญชีงบดุลกลับมาเป็นปกติ การทำนโยบายการเงินแบบตึงตัวเป็นเครื่องมือที่ดีในการต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ เนื่องจากเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสกุลเงินของประเทศด้วยการลดปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบ
การทำนโยบายการเงินแบบตึงตัวเป็นนโยบายการเงิที่ธนาคารกลางใช้เพื่อลดปริมาณเงินหมุนเวียน ลดสภาพคล่อง และกระตุ้นความต้องการสกุลเงินมากขึ้น การดำเนินการนี้จะนำไปสู่การมีส่วนร่วมของคนในประเทศที่มีประสิทธิผลมากขึ้น
เป้าหมายหลักของการทำ QT คืออะไร?
- ลดปริมาณเงินหมุนเวียน (ภาวะเงินฝืด) ภายในประเทศ
- สร้างความต้องการสกุลเงินมากขึ้น
- เพิ่มกิจกรรมการผลิตในการหารายได้
- เพิ่มต้นทุนการกู้ยืมและอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง
- ลดอัตราเงินเฟ้อโดยไม่ทำให้เศรษฐกิจสั่นคลอน
ผลกระทบจากการทำ QT ที่จะมีต่อสกุลเงินปอนด์
การทำนโยบายการเงินแบบตึงตัวเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ธนาคารกลางฯ ใช้ในการต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ ข้อได้เปรียบที่สำคัญของนโยบายนี้คือสร้างความต้องการสกุลเงินมากขึ้นเมื่อจำนวนเงินในระบบลดลง ตามหลักการของอุปสงค์อุปทานที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ดังนั้น ข้อดีสำคัญของการเริ่มทำ Quantitative Tightening คือการเพิ่มอุปสงค์ของสกุลเงินและลดอัตราเงินเฟ้อ
ดังนั้นจึงคาดว่าความต้องการเงินปอนด์จะเพิ่มขึ้นในเดือนหน้า หากว่าธนาคารจะเริ่มใช้นโยบายนี้
ความเสี่ยงของการทำ QT คืออะไร?
1.) ราคาพันธบัตรที่ลดลงอย่างมาก: การเทขายพันธบัตรรัฐบาลที่สะสมมานานโดยธนาคารกลางจะเพิ่มสภาพคล่องให้กับราคาพันธบัตร ส่งผลให้ราคาพันธบัตรลดลง
2.) การลดการซื้อหุ้น: การลดปริมาณเงินหมุนเวียนส่งผลกระทบต่อตลาดตราสารทุน โดยเฉพาะหุ้น นักลงทุนมองว่าการหาเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย สิ่งนี้สามารถทำให้การเติบโตของตลาดหุ้นเป็นไปอย่างช้าๆ
3.) การเติบโตทางเศรษฐกิจช้าลง: เงินหมุนเวียนที่ลดลงสามารถชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ เนื่องจากบริษัทต่างๆ พบว่าเป็นการยากที่จะหาเงินเพื่อดำเนินการผลิตต่อไป
4.) อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น: ข้อเสียที่สำคัญของการทำนโยบายการเงินแบบเข้มงวดคืออาจทำให้การว่างงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทต่างๆ พบว่าการเพิ่มความสามารถในการผลิคมีความท้าทาย ส่งผลให้บริษัทลดค่าใช้จ่ายและเลิกจ้างพนักงานบางส่วน