ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นแตะระดับจุดสูงสุดในรอบ 2 เดือนที่ 116 ดอลลาร์ในวันอังคาร ระหว่างตลาดหุ้นเอเชียเปิดทำการ สหภาพยุโรปออกคำสั่งห้ามนำเข้าน้ำมันของรัสเซียเข้าสู่ยุโรป นับเป็นการคว่ำบาตรต่อรัสเซียสำหรับการโจมตียูเครนเป้นครั้งที่หก ในวันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม ประธานสภายุโรป ชาร์ล มีแชลทวีตจากการประชุมสุดยอดผู้นำยุโรปในกรุงบรัสเซลส์ว่าในที่สุดสหภาพยุโรปได้ตกลงที่จะห้ามการนำเข้าน้ำมันของรัสเซีย คำสั่งห้ามนี้ “ครอบคลุมการนำเข้าน้ำมันมากกว่า 2/3 จากรัสเซียในทันที” เขาอธิบายจุดประสงค์ของแผนนี้ว่าเป็นการ “ตัดแหล่งเงินทุนมหาศาลสำหรับเครื่องจักรสงครามของรัสเซีย”
ผู้นำสหภาพยุโรปตั้งใจที่จะยกเลิกการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย 90% ให้ได้ก่อนปีนี้ ยกเว้นแต่ฮังการี และประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล ที่ต้องพึ่งพาน้ำมันดิบจากรัสเซียและประเทศอื่นๆ ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า การตัดสินใจครั้งนี้จะสร้างแรงกดดันการขาดแคลนน้ำมันดิบมากขึ้น ปัจจุบัน รัสเซียเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ค้าน้ำมันรายที่สามของโลก พวกเขาเป็นผู้จัดหาน้ำมันมากกว่า 40% ของน้ำมันทั้งหมดที่ใช้ในยุโรปทุกวันนี้ หลังจากที่ทราบข่าว ตลาดลงทุนตอบสนองด้วยการดันราคาน้ำมันดิบไปที่จุดสูงสุดใหม่ 116.7 ดอลลาร์ในการลงทุนช่วงเช้าของตลาดฝั่งเอเชียวันนี้
ปัจจัยหลักอะไรบ้างที่ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบ?
ระดับอุปสงค์อุปทาน
เช่นเดียวกับสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ การลงทุนในน้ำมันดิบก็ยังเป็นไปตามหลักการของอุปสงค์และอุปทาน เมื่อซัพพลายมีจำกัด ความต้องการสินค้านั้นๆ ต่อให้คงที่เท่าเดิมก็จะทำให้ราคาสินค้าดังกล่าวสูงขึ้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลังจากการคว่ำบาตรของรัสเซียโดยสหภาพยุโรป นี่คือผลกระทบที่จะได้เห็นตลอดทั้งเดือนนี้ ดังนั้นเราอาจเห็นราคาน้ำมันกลับมาที่จุดสูงสุด 121 ดอลลาร์หรืออาจจะสูงกว่านั้น
การเติบโตทางเศรษฐกิจ
การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นสามารถผลักดันความต้องการน้ำมันดิบให้เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย เหมือนกับช่วงเวลาที่เศรษฐกิจชะลอตัวจนทำให้ความต้องการลดลง ดังนั้น การคลายล็อกดาวน์ในจีนและการกลับมาของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดความต้องการน้ำมันดิบมากขึ้น แต่ด้วยอุปทานที่จำกัดเมื่อเทียบกับความต้องการสูง เราคาดว่าราคาน้ำมันดิบจะพุ่งสูงขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า