ตลาดฟอเร็กซ์ต้องเจอกับความสั่นสะเทือนครั้งใหญ่เมื่อวานนี้ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ดำเนินการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ซึ่งเป็นขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่สูงที่สุดในรอบ 28 ปี การขึ้นดอกเบี้ยที่รุนแรงนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือนพฤษภาคม 0.50% ไม่สามารถกดตัวเลขเงินเฟ้อให้ปรับตัวลดลงมาได้
รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนพฤษภาคมเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว แสดงให้เห็นชัดเจนของอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคม CPI ที่ออกมานั้นปรับตัวขึ้น1% เพิ่มขึ้น 0.7% จากตัวเลขก่อนหน้านี้ที่ 0.3% ในทำนองเดียวกัน ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (ที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน) ทรงตัวอยู่ที่ 0.6% มีหมายความว่าอัตราเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นในอาหารและพลังงานมากที่สุด
อีกปัจจัยหนึ่งที่ยืนยันถึงอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นคือข้อมูลยอดขายปลีกที่เปิดเผยข้อมูลเมื่อวานนี้ รายงานยอดขายปลีก เป็นการวัดจำนวนสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคซื้อ เป็นวิธีการคำนวณอัตราเงินเฟ้อที่ในเชิงลึก ตัวเลขดัชนียอดปลีกคราวนี้แย่ที่สุดในรอบ 6 เดือน ด้วยการปรับตัวลดลง -0.3% ลดลงจ่กตัวเลขก่อนหน้านี้ที่ 0.7% อย่างมีนัยสำคัญ และต่ำกว่าตัวเลขที่คาดการณ์ไว้ที่ 0.1%
ข้อมูลข้างต้นจากรายงานยอดขายปลีกชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคไม่สามารถซื้อของจากผู้ค้าปลีกได้มากนักเนื่องจากราคาที่สูงขึ้นเนื่องตามอัตราเงินเฟ้อดังนั้น ในการประชุมของเฟดจึงถูกบังคับให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ถือเป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1994
ผลกระทบของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดที่มีต่อตลาดคืออะไร?
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดฟอเร็กซ์ คริปโตฯ หุ้น และสินค้าโภคภัณฑ์ เบื้องต้น การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น เราคาดว่าดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (DXY) จะทะลุแนวต้านปัจจุบันที่ 105.3 สู่จุดสูงสุดใหม่
สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อมาก็คือ ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นจะกดดันสกุลเงินทุกคู่ที่ตรึงกับดอลลาร์สหรัฐให้อ่อนค่าลง ซึ่งรวมถึงทองคำ เงิน บิทคอยน์ อีเธอเรียม และสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ ในช่วงเวลาแบบนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่จะไม่ลงทุนในสินทรัพย์เสียง และหันไปซื้อผลตอบแทนพันธบัตรแทน ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นส่วนใหญ่มีโอกาสปรับตัวลดลงต่อได้อีก
สุดท้าย คู่สกุลเงินทั้งหมดที่จับคู่กับดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินหลักจะปรับตัวขึ้น ในทางตรงกันข้าม คู่สกุลเงินที่มีดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินรองจะปรับตัวลดลงเช่น EURUSD เปรียบเทียบกับ USDCAD, USDJPY และอื่นๆ ที่ปรับตัวขึ้น ส่วนตัวแล้วเราเชื่อว่าความผันผวนนี้จะลากยาวไปจนถึงสิ้นเดือนเป็นอย่างน้อย ขอแนะนำให้เทรดเดอร์ใช้กลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม