การเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ต่อปีที่ 8.5% เมื่อเดือนที่แล้ว ทำให้ตลาดมีความกังวลเกี่ยวกับตัวเลข CPI ในเดือนเมษายนของสหรัฐฯ ซึ่งจะเปิดเผยในคืนนี้ นักวิเคราะห์คาดว่าตลาดหุ้นสหรัฐจะตอบสนองต่อข้อมูลเงินเฟ้อดังกล่าว หากข้อมูล CPI เป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ ก็อาจจะทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทรงตัว
ตลาดลงทุนคาดว่าข้อมูลตัวเลข CPI ในเดือนเมษายนจะลดลงเหลือ 8.10% จาก 8.50% ในเดือนมีนาคม นอกจากนี้ ดัชนีราคาผู้บริโภคประจำเดือนเมษายนของสหรัฐฯ รายไตรมาสที่ตกแต่งตัวเลขแล้วคาดว่าจะลดลงอย่างรวดเร็วจาก 1.20% ในเดือนที่แล้วเป็น 0.20% สะท้อนถึงความคาดหวังอย่างมากว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ อาจจะกำลังถึงจุดสูงสุด นักลงทุนหวังให้การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินล่าสุดของเฟดด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยขึ้น 50 จุดเบสิสเป็น 0.75% -1.00% จะสามารถช่วยยับยั้งเงินเฟ้อได้
เงินเฟ้อสหรัฐฯ ถึงจุดสูงสุดแล้วหรือไม่
ในการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) เมื่อต้นเดือนนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ใช้การผสมผสานกลยุทธ์เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง 50 จุดเบสิส (0.50%) นี่คือการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุด หลังจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ย 25 จุดเบสิสในเดือนมีนาคม นอกจากนี้ เฟดยังประกาศว่าจะเริ่มลดการถือครองพันธบัตรมูลค่า 9 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้พันธบัตรกระทรวงการคลังและการจำนองที่มีมูลค่า 47.5 พันล้านดอลลาร์ต่อเดือนหมดอายุโดยไม่ต้องลงทุนซ้ำหลังจากครบกำหนดในเดือนมิถุนายน กรกฎาคม และสิงหาคม เป็นผลให้มูลค่าของพันธบัตรที่หมดอายุจะเพิ่มขึ้นเป็น 95 พันล้านดอลลาร์เริ่มในเดือนกันยายน
ตลาดคาดว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคตของเฟดจะดำเนินต่อไป ตามแผนภูมิภาพแบบจุด (dot-plot) ของเดือนมิถุนายน ในการประชุมครั้งถัดไป นักวิเคราะห์คาดว่าบอร์ดบริหารผู้มีสิทธ์กำหนดนโยบายการเงินในปีนี้ 7 คนจะลงคะแนนให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2022 ขณะที่อีก 13 คน ซึ่งไม่มีสิทธิ์ในปีนี้ จะโหวตการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2023 อย่างไรก็ตาม ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ นายเจอโรม พาวเวลล์ได้เน้นว่าแผนภูมิภาพแบบจุดจะแสดงถึงความคาดหวังของแต่ละคณะกรรมการ FOMC และคนที่ไม่ใช่คณะกรรมการแต่ละคน จนถึงตอนนี้ FOMC ยังไม่ได้หารือว่าเมื่อใดจะเหมาะสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่ากัน
ที่ผ่านมา เฟดส่งสัญญาณบ่อยครั้งเกี่ยวกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคตและการขึ้นอัตราดอกเบี้ย 50 จุดเบสิส อย่างไรก็ตาม ความน่าเป็นห่วงก็คือการทำนโยบายแบบตึงตัวมากขึ้น จะเป็นการลดความต้องการสินทรัพย์เช่นรถยนต์และบ้านลงอย่างมาก เพราะต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในปัจจุบัน
ในส่วนของราคาน้ำมันดิบโลก ชาติตะวันตกเมื่อเร็วๆ นี้ได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียรอบที่ 6 ซึ่งรวมถึงคำสั่งห้ามนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย ซึ่งจะต้องร่างอย่างครอบคลุมให้เสร็จภายในสิ้นปี 2022 การคว่ำบาตรน้ำมันของรัสเซียทำให้แนวโน้มราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ นักลงทุนกังวลว่าอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกจะชะลอตัวเนื่องจากการล็อกดาวน์อย่างต่อเนื่องในจีน ซึ่งเคร่งครัดกับการดำเนินตามแผนปลอดโควิดของรัฐบาลเป็นอย่างมาก ความต้องการใช้น้ำมันที่ลดลงส่งผลให้ราคาน้ำมันในช่วงนี้ปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนมีนาคมที่ 129 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซาอุดีอาระเบียได้ปรับลดราคาน้ำมันสำหรับการส่งออกไปยังลูกค้าชาวเอเชีย โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2022 ส่งสัญญาณว่าราคาน้ำมันอาจปรับตัวลดลงอีก หาดป็นไปตามนี้ มีโอกาสที่ระดับเงินเฟ้อในช่วงกลางปีจะปรับตัวลดลง
ทิศทางในอนาคตของตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะเป็นเช่นไร?
ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาปรับตัวลดลงตลอดทั้งสัปดาห์นี้ สวนทางกับราคาพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พฤติกรรมตลาดเช่นนี้สะท้อนถึงความวิตกกังวลเกี่ยวกับราคาสินค้าและบริการส่วนใหญ่ที่พุ่งสูงขึ้น ดังนั้น การดูข้อมูลอัตราเงินเฟ้อราคาผู้บริโภคในเดือนเมษายน ที่ประกาศออกมาในวันนี้จึงเป็นสิ่งที่นักลงทุนควรให้ความสนใจ นักวิเคราะห์หวังว่าข้อมูล CPI จะเป็นแรงหนุนให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในทางกลับกัน หาก CPI นเดือนเมษายนลดลงใตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ หุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะปรับตัวจากแนวรับในปัจจุบัน
ในช่วงเวลาที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลอดทั้งปี หุ้นวัฏจักร เช่น การเงิน พลังงาน อุตสาหกรรม และวัสดุก่อสร้าง มักจะทำผลงานได้ดีกว่าหุ้นในกลุ่มอื่นๆ ในกรณีที่ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น หุ้นกลุ่มพลังงานกลุ่มเดียวที่ได้รับผลตอบแทนมากขึ้น กลายเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่นักลงทุนเลือกได้ ในปีนี้หุ้นกลุ่มพลังงานมีผลประกอบการที่ดีกว่าดัชนี S&P 500 มาก ขาขึ้นครั้งนี้ยังส่งผลให้กองทุน ETF ของหุ้นกลุ่มพลังงาน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 10.34% ตอนนี้หุ้นกลุ่มพลังงานยังเป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีการซื้อสุทธิสูงสุดจากกองทุนที่ดำเนินงานในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้หมายความว่าการลงทุนในหุ้นกลุ่มอื่นจะไม่มีโอกาสเลย ผลการดำเนินงานที่ย่ำแย่ในปัจจุบันของตลาดหุ้นสหรัฐ ภายใต้ในสภาพแวดล้อมที่จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ได้สร้างเงื่อนไขที่เหมาะสมสำหรับหุ้นบางตัว บางกลุ่ม ที่ได้รับประโยชน์จากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดก็เท่านั้น