ผลการประชุมอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้สร้างความตกใจให้กับนักลงทุนอีกครั้งเมื่อวานนี้เมื่อคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ได้ดทำการขึ้นอัตราดอกเบี้ย 75 bps เป็นครั้งที่สองติดต่อกัน หลังจากขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกไปแล้วในเดือนมิถุนายน การตัดสินใจครั้งนี้คือการต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อใที่สูงที่สุดในรอบ 40 ปี ที่ปรับตัวสูงขึ้นถึง 9.1% YoY ในเดือนมิถุนายน
ก่อนหน้านี้เฟดได้ย้ำถึงความทุ่มเทในการต่อสู้กับเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นและความพยายามที่จะทำเงินเฟ้อให้ลงมาต่ำที่สุด ความตั้งใจนี้ได้ผลักดันให้เฟดเริ่มวางนโยบายดอกเบี้ย ที่ไม่ได้เห็นมาตั้งแต่ทศวรรษ 1990 เมื่ออัตราดอกเบี้ยถูกปรับขึ้นมากถึง 75 จุดเบสิสเป็นเวลาสองเดือนติดต่อกัน การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดนี้ทำให้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงถูกปรับขึ้นมาอยู่ในกรอบ 2.25% และ 2.50%
FOMC ได้ระบุถึงความมุ่งมั่นที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปจนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงมาต่ำที่สุด อย่างไรก็ตาม ตลาดคาดว่า FOMC จะหยุดการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนหน้า เนื่องจาก FOMC ไม่มีการประชุมในเดือนสิงหาคม แต่พวกเขาก็จะไปรวมตัวกันที่ Jackson Hole รัฐไวโอมิงเท่านั้นสำหรับการประชุมประจำปีของเฟด ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
การดำเนินการของ FOMC ได้จัดลำดับความสำคัญให้กับควบคุมอัตราเงินเฟ้อมาเป็นอันดับแรก แม้ว่าจะส่งผลเสียต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจก็ตาม ดังนั้น คณะกรรมการฯ จึงกล่าวเมื่อวานนี้ว่าจะดำเนินการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่ออีกครั้งในการประชุมครั้งถัดไปในเดือนกันยายน
เฟดคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลงตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป เนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวลดลงในเดือนกรกฎาคมเป็นเวลาหลายวัน เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า
เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดกล่าวว่าคณะกรรมการฯ จะสังเกตข้อมูลที่มีอยู่ก่อน แล้วจึงตัดสินผลกระทบที่เกิดขึ้นกับอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากนโยบายการเงินตึงตัวขึ้น ทำให้เฟดจึงมีความจำเป็นต้องชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในขณะเดียวกัน เฟดจะต้องประเมินว่าการปรับนโยบายสะสมมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันอย่างไร
คณะกรรมการฯ ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงรุกจะต้องดำเนินต่อไปในเดือนกันยายน
เพื่อจัดการกับความกังวลที่เพิ่มขึ้นของนักลงทุนว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย พาวเวลล์ปฏิเสธคำกล่าวที่ว่าเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย เขายืนยันว่าเศรษฐกิจไม่เสี่ยงต่อภาวะถดถอยใดๆ ในมุมมองของเขา แม้ว่าจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจติดลบในช่วงไตรมาสแรกของปี 2022 แต่อัตราการเติบโตคาดว่าจะกลับมาเป็นบวกในไตรมาสที่สองของปีนี้ เขาจึงยืนกรานว่า ภาวะถดถอยหมายถึงการหดตัวลดลงทางเศรษฐกิจในวงกว้าง ที่มีหลักฐานจากในหลายภาคส่วน ดังนั้น จากข้อมูลทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ดูเหมือนว่าภาวะถดถอยในขณะนี้ยังไม่เกิดขึ้น
เขาเปิดเผยว่าตลาดแรงงานเป็นเครื่องบ่งชี้ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ ประเด็นนี้กับคำถามหนึ่งเกี่ยวกับข้อมูล GDP หดตัวลดลง 1.6% เมื่อเทียบกับตัวเลขก่อนหน้า เขาเชื่อว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจสามารถเห็นได้จากการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งในไตรมาสแรกของปี 2022 ตัวอย่างเช่น อัตราการว่างงานในเดือนมิถุนายนที่ชะลอตัวลงเหลือ 3.6% ซึ่งถือว่ามีการสร้างงานเพิ่มขึ้นอย่างมาก หลายคนเชื่อว่าอเมริกากำลังใกล้ถึงจุดสูงสุดของอัตราการจ้างงานทั้งหมด และมีอัตราการว่างงานต่ำ
เหนือสิ่งอื่นใด เมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่มีอยู่ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะเริ่มขึ้นในเดือนกันยายน เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของเฟดสำหรับกรอบเงินเฟ้อ ที่จะลดลงเหลือ 2% ซึ่งยังห่างไกลกับอัตราเงินเฟ้อปัจจุบันซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 9.1% YoY ในเดือนมิถุนายน 2022 ตัวเลข 2% เทียบกับ 9.1% หมายความว่าเฟดยังมีงานต้องทำอีกมาก ในการทำให้อัตราเงินกลับลงมาอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 2%
การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดกระทบคู่สกุลเงินใดบ้าง?
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยคาดว่าจะทำให้ดัชนีดอลลาร์สหรัฐ (USDX) ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าแข็งค่าขึ้น ในขณะเดียวกันก็จะสร้างแรงกดดันต่อสกุลเงินอื่นๆ ที่จับคู่กับดอลลาร์สหรัฐ เราจึงคาดว่าคู่กราฟที่มีดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินหลัก เช่น USDCAD, USDJPY, USDCHF, USDMXN, USDNOK จะปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่คู่กราฟอื่นๆ ที่มีดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินรอง เช่น EURUSD, GBPUSD, AUDUSD, NZDUSD จะปรับตัวลดลงอีกในสัปดาห์หน้า เพราะการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ
การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นและคริปโตฯ อย่างไร?
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้คาดว่าจะส่งผลกระทบในทางลบต่อตลาดหุ้นและตลาดคริปโตฯ ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า นักวิเคราะห์เชื่อว่าขาขึ้นในตลาดหุ้นและคริปโตฯ ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นระยะสั้นจากข่าวการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อวานนี้ที่ตรงตามคาดการณ์ ดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อว่าหุ้นสหรัฐฯ ส่วนใหญ่จะปรับตัวลดลงอย่างมากในช่วงสุดสัปดาห์ นอกจากนี้ สินทรัพย์อื่น ๆ ที่ตรึงกับดอลลาร์สหรัฐฯ คาดว่าจะลดลงอย่างมากตั้งแต่ช่วงสุดสัปดาห์นี้ไปจนถึงสัปดาห์หน้า