เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาในงานซึ่งจัดโดยสถาบันแฟรงก์เฟิร์ตเพื่อความมั่นคงทางการเงินและการเงิน หนึ่งในบอร์ดบริการธนาคารกลางสหรัฐ คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ได้ออกมากล่าวว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% จะดำเนินต่อไปจนถึงการประชุมเฟดครั้งต่อไปในนี้ หลังจากนั้น การประชุมในครั้งถัดไปจะต้องมีการสังเกตระดับเงินเฟ้อเพิ่มเติม เพื่อปรับระดับเงินเฟ้อให้ลงมาใกล้เป้าหมายขั้นต่ำที่ 2% ของธนาคารกลางฯ วอลเลอร์กล่าวว่าอันที่จริงแล้วเขาไม่ได้พอใจต่อนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในตอนนี้
“ผมสนับสนุนให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.50% ในการประชุมครั้งถัดๆ ไป ผมจะไม่ยอมหยุดการขึ้นอัตราดอกเบี้่ย 0.50% จนกว่าเงินเฟ้อจะลงมาอยู่ในกรอบราคาเป้าหมาย 2%”
ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่บางคนเรียกร้องให้มีการกลั่นกรองและกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อในระดับที่เป็นกลางหรือใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น (2.5%) แต่วอลเลอร์กลับมองเอาไว้สูงกว่านั้น เขาเชื่อว่าเฟดสามารถขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบรุนแรงโดยที่ไม่กระทบจนทำให้เศรษฐกิจฟุบลงได้
แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อซึ่งวัดโดยดัชนีราคาผู้บริโภคได้แสดงสัญญาณการชะลอตัวลงบ้างแล้ว แต่ข้อมูลจาก Core CPI ชี้ให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อในตอนนี้ยังไม่ถึงจุดสูงสุด CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่รวมราคาพลังงานและอาหารในเดือนเมษายนยังคงวิ่งสูงอยู่ที่ 0.6% เทียบกับระดับ 0.3% ในเดือนมีนาคม
การลดลง 0.6% ของดัชนีผู้บริโภคในเดือนเมษายน ถือเป็นการลดลงอย่างมากจาก 1.2% ในเดือนมีนาคม เมื่อเทียบรายปี ที่เพิ่มขึ้นเป็น 8.3% ในเดือนเมษายน ลดลงจาก 8.5% ที่บันทึกไว้ในเดือนมีนาคม โดยลดลงเพียง 0.2% เท่านั้น
วอลเลอร์เชื่อว่าการควบคุมอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันคือการต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อในการประชุมเฟด จนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย ซึ่งหมายความว่าอัตราดอกเบี้ยอาจสูงถึง 4% จากระดับเป็นกลางในปัจจุบันที่ 2.5% หากเฟดใช้การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม
ผลกระทบต่อตลาดลงทุนหากมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกจะทำให้ตลาดกลับสู่โหมดหลีกหนีสินทรัพย์เสี่ยง ตอนนี้นักลงทุนอาจย้ายการลงทุนไปเป็นพันธบัตร ดอลลาร์ และเยนญี่ปุ่น ดังนั้น หากเฟดตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ เราอาจเห็นการปรับตัวลดลงต่อของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ สกุลเงินดิจิทัล และหุ้น