ในสัปดาห์นี้ ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครนก่อให้เกิดสงครามที่ดึงดูดความสนใจจากทั่วโลก กลายเป็นข่าวระดับโลกที่สำคัญที่สุด นอกจากนี้ สงครามยังก่อให้เกิดความตระหนกครั้งใหญ่ในตลาดการเงิน รัฐมนตรีต่างประเทศของยูเครนเมื่อวานนี้กล่าวว่า ปูตินได้เริ่มทำสงครามกับยูเครนอย่างเต็มรูปแบบ และยูเครนจะปกป้องตนเอง ในการกล่าวสุนทรพจน์ทางโทรทัศน์ ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน กล่าวว่าเขาได้ตัดสินใจที่จะเริ่มปฏิบัติการทางทหารพิเศษในภูมิภาคดอนบัส (Donbas) ที่ควบคุมโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดน
ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและยูเครนแย่ลง ดัชนีหุ้นหลักสามแห่งของสหรัฐและตลาดหุ้นเอเชียก็ร่วงลงทั่วทั้งกระดาน แนสแด็กปรับตัวลดลงประมาณ 2.6% ในขณะที่ดาวโจนส์ปรับตัวลดลง 1.38% ลงแตะจุดต่ำสุดในปี 2022 ออพเพนไฮเมอร์ หัวหน้านักยุทธศาสตร์หุ้นระดับโลกของโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่าหากใช้สถานการณ์รัสเซียรุกรานไครเมียในปี 2014 เป็นข้อมูลอ้างอิง วิกฤตในยูเครนครั้งนี้จะทำให้ตลาดหุ้นร่วงลงอย่างน้อย 5%
เมื่อนักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับสงคราม พวกเขาจะเข้าสู่สภาวะหลีกเลี่ยงความเสี่ยง นักลงทุนเหล่านี้มีแนวโน้มว่าจะขายสินทรัพย์เสี่ยงและซื้อสินทรัพย์ที่ปลอดภัยเพื่อปกป้องเงินทุนของพวกเขา สินทรัพย์ปลอดภัยที่นักลงทุนจะพิจารณาถือครองคืออะไร และแนวโน้มล่าสุดของพวกเขาเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับความผันผวนของตลาดที่ทวีความรุนแรงขึ้น ในบทความนี้ เราจะพูดถึงสินทรัพย์ที่ปลอดภัยบางส่วนที่นักลงทุนหลายคนต้องการ
ทองคำ
ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ทวีความรุนแรงขึ้นได้เพิ่มมูลค่าให้กับทองคำในฐานะสินทรัพย์สำรองปลอดภัยแบบต้นตำรับ ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 2 วัน พุ่งขึ้นสู่ระดับ 1,918 ดอลลาร์ ขึ้นยืนเหนือจุดสูงสุดในเดือนมิถุนายน 2021 ได้ อย่างไรก็ตาม เพราะยังมีความไม่แน่นอนที่สำคัญเกี่ยวกับราคาทองคำในอนาคต ทำให้นักลงทุนซื้อขายทองคำได้ยาก
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจัดประชุมฉุกเฉินเพื่อหารือเกี่ยวกับยูเครนหลังจากที่รัสเซียเปิดปฏิบัติการทางทหารในยูเครน ประเทศตะวันตกที่นำโดยสหรัฐอเมริกาใช้มาตรการตอบโต้รัสเซียเพื่อทำลายเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้มีความเป็นไปได้ในอนาคตที่สถานการณ์ในรัสเซียและยูเครนอาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาดมากขึ้น และทำให้ราคาทองคำในระยะสั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว จริงอยู่ว่าความผันผวนของราคาทองคำไม่เหมาะกับนักลงทุนทุกราย แต่นักลงทุนที่ชอบความเสี่ยงยังสามารถเข้าซ้อนซื้อในจังหวะที่ราคาย่อตัวลดลงมาได้ และสำหรับคนที่ไม่ชอบความเสี่ยงเลยนะ่นควรรอให้ความผันผวนลดลงมากกว่าจึงค่อยเข้ามาลงทุนในทองคำ
ก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบ
เพราะรัสเซียเป็นผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบชั้นนำของโลก สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนจึงสร้างผลกระทบอย่างมากต่อราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ ส่งผลให้น้ำมันดิบเบรนท์ในเอเชียขึ้นทะลุ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี น้ำมันดิบ WTI ของสหรัฐก็เพิ่มขึ้นเป็น 97 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหลังจากแตะระดับ 100 ดอลลาร์ได้ในช่วงสั้น ๆ นอกจากนี้ ราคาสินค้าเกษตรล่วงหน้า เช่น ข้าวสาลีและถั่วเหลืองก็ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน โดยสัญญาซื้อขายข้าวสาลีล่วงหน้าของสหรัฐฯ ในชิคาโกสามารถขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี
ตลาดโลกในปัจจุบันมีพลังงานไม่เพียงพออยู่แล้วจากสถานการณ์โรคระบาด ยิ่งเจอสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ปั่นป่วน ยิ่งทำให้ความต้องการก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่สมาชิก OPEC และกลุ่ม OPEC+ ที่นำโดยรัสเซียไม่เต็มใจที่จะร่วมมือกับสหรัฐฯ เพื่อเพิ่มการผลิต ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้น และทำให้ทุกครั้งที่เห็นราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติทรงตัว นั่นคือการย่อเพิ่มปรับตัวขึ้นต่อเท่านั้น
ดอลลาร์สหรัฐและเงินเยนญี่ปุ่น
สกุลเงินสำรองปลอดภัยที่สุดคือดอลลาร์สหรัฐและเยนญี่ปุ่น สองสกุลเงินนี้มีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นเรื่อย ๆ ตราบใดที่สงครามยูเครนรัสเซียในปัจจุบันยังไม่จบ ทำให้เราได้เห็นภาพนักลงทุนแห่กันไปถือครองทั้งสองสกุลเงินในช่วงเวลานี้เนื่องจากความมั่นคงของเศรษฐกิจญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา
จริงอยู่ว่าหากดูผ่านๆ ไปที่คู่สกุลเงินเยนในตลาดสปอตปีนี้อาจจะดูไม่น่าสนใจนัก แต่หากดูในตลาดออปชั่นกลับได้เห็นว่าเป็นตลาดที่แตกต่างออกไป ตลาดออปชั่นชี้ให้เห็นว่านักลงทุนมองว่าเงินเยนเป็นหลักประกัน เนื่องจากเป็นที่หลบภัยจากความเสี่ยงในตลาดหุ้นทั่วโลก ส่งผลให้ค่าเงินเยนพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์เมื่อวันพฤหัสบดี
ตลาดพันธบัตร
เมื่อใดก็ตามที่เกิดการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงหรือความผันผวนในตลาดลงทุนมากขึ้น นักลงทุนมักจะแห่กันไปที่ตลาดพันธบัตรในประเทศที่ที่พัฒนาแล้ว แน่นอนว่าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นที่ต้องการมากที่สุด เมื่อวันพฤหัสบดี อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีในเอเชียร่วงลงจาก 1.9% ลงปิดใกล้กับจุดต่ำสุด เพราะความต้องการมากขึ้นทำให้ราคาพันธบัตรพุ่งสูงขึ้น
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 150-175 จุดเบสิสในปีหน้า ซึ่งมีแนวโน้มที่จะผลักดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรให้สูงขึ้น ในขณะที่ราคาหุ้นตกต่ำลง อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะดึงดูดเงินทุนไหลเข้าในสินทรัพย์ที่รักษามูลค่าไว้เช่น พันธบัตร
โดยสรุปแล้ว
นอกเหนือจากสินทรัพย์ที่กล่าวไปแล้ว นักลงทุนส่วนใหญ่ทราบดีว่ายังมีสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงอื่นๆ อีก อย่างเช่นพันธบัตรแปลงสภาพ และเงินสด หุ้นกลุ่มป้องกันความเสี่ยงเช่นสินค้าอุปโภคบริโภค ทรัพยากรแร่ บริษัทการเงิน โทรคมนาคม และสาธารณูปโภค กองทุน ETF สายป้องกันก็มีแนวโน้มที่จะเป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนมากขึ้น
การเผชิญหน้าทางทหารระหว่างรัสเซียและยูเครนจะยังคงดำเนินต่อไป และตลาดการเงินอาจผันผวนต่อไปอีกในระยะสั้น ดังนั้นนักลงทุนควรระมัดระวังในการลงทุน ในไม่ช้านักลงทุนจะสามารถสังเกตเห็นแนวโน้มของราคาของสินทรัพย์ที่ปลอดภัยได้ และจะสามารถจัดสรรพอร์ตการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการลงทุนในตลาดที่ผันผวน