นับตั้งแต่ธนาคารกลางทั่วโลกใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในช่วงที่มีการระบาดใหญ่ ไปจนถึงการทำนโยบายการเงินให้มีความตึงตัวมากขึ้น ทำให้เกิดเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในหลายๆ ประเทศ และยิ่งมีสงครามรัสเซีย-ยูเครน ก็ได้สร้างผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ หากปัญหาเงินเฟ้อเป็นสิ่งที่แก้ไขได้ยาก แล้วปัจจัยอะไรคืออันตรายที่ซ่อนตัวรออนาคตของตลาดการเงินโลกในตอนนี้อยู่?
นักลงทุนต้องปรับเปลี่ยนอะไรบ้างในการจัดสรรสินทรัพย์การลงทุนในระยะสั้น วันนี้เราจะพูดถึงอัตราเงินเฟ้อที่สูงจนสามารถท้าทายธนาคารกลางหลักๆ ของโลกได้ และวิธีปรับสมดุลพอร์ตการลงทุนของคุณให้สอดคล้องกับสถานการณ์เงินเฟ้อในปัจจุบัน
สหรัฐอเมริกา
มาเริ่มต้นกันที่สหรัฐอเมริกาก่อนเป็นที่แรก อัตราเงินเฟ้อประจำปีของประเทศในเดือนเมษายนอยู่ที่ 8.3% ปรับตัวลดลงมา 0.2% จากเดือนมีนาคม ถือเป็นการชะลอตัวครั้งแรกของอัตราเงินเฟ้อนับตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2021 อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้แม้จะลดลงแต่ก็ยังสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ ทำให้นักลงทุนตั้งคำถามว่าอัตราเงินเฟ้อในตอนนี้มีโอกาสปรับตัวลดลงบ้างหรือไม่
เมื่อพิจารณาจากข้อมูลในแต่ละภาคส่วน ทิศทางการใช้จ่ายของผู้บริโภคก็เปลี่ยนไปตามราคาอาหารและการเติบโตของอุตสาหกรรมบริการที่ฟื้นตัวกลับขึ้นมา
- ราคาอาหารเพิ่มขึ้น 9.4% ต่อปีและเพิ่มขึ้น 0.9% ต่อเดือน
- ราคาบริการที่ไม่รวมบริการด้านพลังงานเพิ่มขึ้น 4.9% ต่อปีและ 0.7% ต่อเดือน
- ราคาค่าขนส่งเพิ่มขึ้น 8.5% ต่อปีและ 3.1% ต่อเดือน
ตามที่เคยคาดไว้ก่อนหน้านี้ ราคาน้ำมันในตลาดโลกน่าจะอยู่ในระดับสูงเช่นนี้เป็นเวลานาน การปรับตัวลดลงเมื่อเร็วๆ นี้เกิดจากราคาน้ำมันตามปั้มที่ปรับตัวลดลงเล็กน้อย อีกไม่นานราคาน้ำมันจะกลับสู่ระดับสูงอย่างรวดเร็วเนื่องจากต้นทุนการกลั่นที่พุ่งสูงขึ้น หุ้นในกลุ่มพลังงานยังไม่แสดงแนวโน้มราคาที่จะปรับตัวลดลงได้เลย
แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงขึ้นไม่หยุด ณ ตอนนี้ในสหรัฐอเมริกาได้ทำให้ตลาดหันมาเก็งกำไรว่านโยบายที่ตึงตัวมากขึ้นของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในปัจจุบันจะจบลงเช่นไร ความเป็นจริงที่สะท้อนอยู่ในหุ้นกลุ่มพลังงานแสดงให้เห็นว่ายังไม่มีสัญญาณใดที่บ่งชี้ได้ว่าเงินเฟ้อของสหรัฐฯ อยู่ภายใต้การควบคุมของเฟดแล้ว สมมติว่าเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น อาจจะเป็นการเพิ่มความกังวลให้กับตลาดว่าอาจจะเกิดภาวะถดถอยขึ้น แต่ถ้ายังคงการขึ้นดอกเบี้ยต่อไปเช่นนี้ มันจะกระตุ้นให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ และจะสร้างแรงกดดันต่อราคาทองคำต่อไป
สหราชอาณาจักร
อังกฤษมักถูกมองว่าเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดของสหรัฐฯ ในเรื่องของปัญหาเงินเฟ้อที่เจอเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่สถานการณ์ในสหราชอาณาจักรดูเหมือนจะเลวร้ายยิ่งกว่าในสหรัฐอเมริกา สงครามรัสเซีย-ยูเครนยังคงผลักดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ให้สูงขึ้น ทำให้ต้นทุนด้านพลังงาน อาหาร วัตถุดิบ และค่าขนส่งสูงขึ้น ผลกระทบดังกล่าวทำให้อัตราเงินเฟ้อของสหราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นเป็น 7.0% ในเดือนมีนาคมและเพิ่มขึ้น 0.8% MoM และจนถึงตอนนี้ตัวเลขดังกล่าวคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง
แอนดรูว์ เบลีย์ ผู้ว่าการธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ประกาศว่าอัตราเงินเฟ้อไม่น่าจะลดลงได้ก่อนจะถึง 10% ในปีนี้ หมายความว่าราคาอาหารจะสูงขึ้น ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่สูงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอังกฤษ ธนาคารแห่งประเทศอังกฤษคาดว่าจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่สี่ในเดือนนี้ โดยเพิ่มขึ้น 0.25% เป็น 1%
เพราะอัตราเงินเฟ้อของสหราชอาณาจักรยังไม่กลับมาอยู่ในแดนบวก การขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องในระยะสั้นอาจจะยังไม่เห็นผล นักลงทุนคาดว่าอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นเป็น 2% -2.25% ภายในปี 2022 นอกจากนี้ มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซียยิ่งทำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในตลาด และยังคงผลักดันค่าเงินดอลลาร์ให้สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อสกุลเงินปอนด์ให้อ่อนค่าลง
ญี่ปุ่น
แม้แต่ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่ต่อสู้กับเงินเฟ้อที่ต่ำมานานหลายปี ก็ยังพบว่ามีเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้น ดัชนีราคาผู้บริโภคของโตเกียวในเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้น 0.8% นอกจากนี้ ญี่ปุ่นจะเปิดเผยข้อมูล CPI ของเดือนเมษายนในสัปดาห์นี้ ตลาดคาดว่า CPI จะเพิ่มขึ้น 2% จากระดับเป้าหมายเงินเฟ้อของ BoJ ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก
ราคาพลังงานและวัตถุดิบที่สูงขึ้นส่วนใหญ่อยู่เบื้องหลังเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นในญี่ปุ่น ราคาน้ำมันและถ่านหินเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก เพิ่มขึ้น 31% จากปีที่แล้ว ต้นทุนผลิตภัณฑ์ไม้ก็เพิ่มสูงขึ้นถึง 56% ในขณะเดียวกัน ดัชนีราคาผู้ผลิตของญี่ปุ่น (PPI) พุ่งขึ้น 10% เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนเมษายน ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 9.4% นี่คือการเพิ่มขึ้นมากที่สุดของ PPI นับตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 1980
เมื่ออัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น เงินเยนเริ่มอ่อนค่า ทำให้ต้นทุนการนำเข้าสำหรับภาคธุรกิจที่ส่งต่อไปยังผู้บริโภคสูงขึ้น ตลาดคาดว่าอัตราเงินเฟ้อของญี่ปุ่นในปีนี้จะอยู่ที่ 2% และอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นอาจทำให้บริษัทต่างๆ ขึ้นราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่อไป ซึ่งจะทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นลดลง นักลงทุนในตลาดญี่ปุ่นได้เริ่มวิจารณ์นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของ BoJ ที่มีมาหลายปีแล้ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากนโยบายดังกล่าวดำเนินมาหลายปี การตอบสนองต่อนโยบายการเงินของ BOJ ต่อภาวะเงินเฟ้อจึงอาจซบเซากว่าในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา
แม้จะมีปัญหา “เงินเฟ้อสูง” เกิดขึ้นทั่วโลกในปีนี้ แต่คุณในฐานะนักลงทุนสามารถพิจารณาลงทุนในสินทรัพย์ป้องกันเงินเฟ้อเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากภัยพิบัติทางการเงินครั้งนี้ได้ ยกตัวอย่างเช่นการลงทุนในทรัพยากรธรรมชาติ หุ้นพลังงาน ธนาคาร ทรัสต์ด้านอสังหาริมทรัพย์ และบริษัทอื่น ๆ ที่มีฐานะดี มีศักยภาพการลงทุน สุดท้าย การลงทุนทองคำในปีนี้ควรทำด้วยความระมัดระวังเนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น