ผลกระทบจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ลดลง ทำให้เกิดความกังวลในหมู่นักลงทุนเกี่ยวกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของคณะกรรมการจัดการประชุมแห่งสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในเดือนมีนาคม ที่จะเปิดเผยในคืนนี้ แม้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐในเดือนกุมภาพันธ์สูงกว่าข้อมูลในเดือนมกราคม อย่างไรก็ตาม ดัชนีก็ได้ร่วงลงอย่างรวดเร็วกว่า 10 จุด มาอยู่ที่ 110.5 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของมหาวิทยาลัยมิชิแกนในเดือนมีนาคมที่เผยแพร่เมื่อเร็วๆ นี้ อยู่ที่ 59.4 ความคาดหวังของตลาดคือการรักษาตัวเลขเอาไว้ให้ไม่ลงต่ำกว่า 59.7 ตัวเลขนี้ยังต่ำกว่าตัวเลข 62.8 ในเดือนกุมภาพันธ์อีกด้วย
นักเศรษฐศาสตร์บางคนเชื่อว่าดัชนีความเชื่อมั่นของมหาวิทยาลัยมิชิแกนที่ตกต่ำอย่างต่อเนื่องนั้นมากเกินไปเมื่อเทียบกับความเป็นจริงเชิงปัจจัยพื้นฐาน และพวกเขาเชื่อว่าเศรษฐกิจควรจะเติบโตต่อเมื่อพิจารณาจากตัวเลขอย่างเช่น จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการการว่างงานอยู่ที่ระดับต่ำในรอบ 52 ปี และค่าแรงก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก ดังนั้น ข้อมูลในคืนนี้จะเป็นจุดที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน นักลงทุนต้องจับตาดูว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะแตะระดับต่ำสุดใหม่หรือไม่
เงินเฟ้อคือเหตุผลหลักที่ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง
อัตราเงินเฟ้อเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เป็นที่ชัดเจนว่าระดับเงินเฟ้อในสหรัฐอเมริกายังคงเพิ่มสูงขึ้น และดูเหมือนว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังไม่ถึงจุดสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นราคาพลังงาน อาหาร และค่าที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม ยอดซื้อขายที่อยู่อาศัยในสหรัฐฯ ในเดือนกุมภาพันธ์ลดลง 4.1% จากเดือนมกราคม มาอยู่ที่ 104.9 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2020 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงเช่นกัน
เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ข้อมูลที่เผยแพร่โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐแสดงให้เห็นว่า CPI ของสหรัฐในเดือนมกราคม 2022 เพิ่มขึ้น 7.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี สร้างจุดสูงสุดในรอบ 40 ปี นอกจากนี้ยังเป็นครั้งที่สองติดต่อกันที่ดัชนีดังกล่าวมีตัวเลขสูงเกิน 7% ดัชนีวัดราคาน้ำมันเบนซินในเดือนกุมภาพันธ์เพิ่มขึ้น 6.6% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน คิดเป็นการเพิ่มขึ้นเกือบหนึ่งในสาม ดัชนีอาหารเพิ่มขึ้น 1.4% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นเดือนต่อเดือนMoM สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2020
ก่อนสงครามรัสเซีย-ยูเครน ราคาพลังงานในสหรัฐฯ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์แล้ว สงครามทำให้อัตราเงินเฟ้อรุนแรงขึ้นในสหรัฐอเมริกาและยังคงผลักดันราคาพลังงานที่สูงอยู่แล้ว ให้สูงขึ้นอีก นอกจากนี้ นักวิเคราะห์คาดว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐจะสูงสุดในเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากระดับเงินเฟ้ออาจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การสำรวจพบว่าการคาดการณ์เงินเฟ้อของผู้บริโภคชาวอเมริกันในปีหน้าจะอยู่ที่ 5.4%
เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังที่ยังสูงอยู่ ตลาดคาดว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้อีกหลายครั้ง โกลด์แมน แซคส์ ได้เพิ่มการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐ และคาดว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากถึง 11 เท่าในปีนี้และปีหน้า นอกจากนี้ รายงานของโกลด์แมน แซคส์ กล่าวว่า หากสถานการณ์ในยูเครนเปลี่ยนแปลงกะทันหัน จะส่งผลให้ราคาพลังงานสูงขึ้น หรือปัญหาห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงักในอนาคต ซึ่งจะทำให้การคาดการณ์เงินเฟ้อของสหรัฐในอนาคตอาจเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
ความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคจะได้รับผลกระทบหรือไม่?
ตราบใดที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังคงดำเนินต่อไป ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะยังคงอยู่ แล้วความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ตกต่ำจะส่งผลต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคหรือไม่? เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน ผู้บริโภคในสหรัฐฯ มีการใช้จ่ายต่ำและมีอัตราการออมสูง หลังจากสะสมเงินออมส่วนเกินไว้ได้มากกว่า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงโควิด ในขณะเดียวกัน ตลาดแรงงานกำลังฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง ตัวอย่างเช่น จำนวนผู้ที่ได้รับสวัสดิการว่างงานในสหรัฐอเมริกาสามารถแตะจุดต่ำสุดใหม่ โดยครั้งล่าสุดเกิดขึ้นต้องย้อนกลับไปกว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมาในเดือนมีนาคม ข่าวดีนี้ถือเป็นปัจจัยบวกในการบรรเทาผลกระทบจากเงินเฟ้อ
แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นจะกัดกินกำลังซื้อของผู้บริโภค แต่อุปสงค์ภายในประเทศของสินค้าในสหรัฐอเมริกาโดยทั่วไปยังคงแข็งแกร่ง และโมเมนตัมการเติบโตทางเศรษฐกิจก็ยังคงมีอยู่ ผลกระทบของความเชื่อมั่นของตลาดที่ซบเซาต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคจะไม่ดีนัก ผลประกอบการไตรมาสสี่ ณ สิ้นเดือนยังคงเกินความคาดหมายของตลาด
ตัดสินจากดัชนีความเชื่อมั่นของมหาวิทยาลัยมิชิแกน ข้อมูลความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ U.S. Conference Board สำหรับเดือนมีนาคมที่จะเปิดเผยในคืนนี้อาจติดลบค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสงครามรัสเซีย-ยูเครนยังคงกดดันราคาน้ำมันให้สูงขึ้น ดังนั้นตลาดจึงต้องให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับผลกระทบด้านลบที่อาจเกิดขึ้นจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่มีต่อหุ้นสหรัฐ หากตัวเลขที่ออกมาต่ำกว่ามูลค่าที่คาดไว้ที่ 107 อาจทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลงได้อีก
